วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แก่นตะวัน





แก่นตะวัน ช่วยลดความอ้วน และสรรพคุณดีๆ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่า แก่นตะวัน มาบ้าง แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้จัก แก่นตะวัน ถือเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว เพราะมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งช่วยลดความอ้วนที่เหมาะกับสาวๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และยังมีสรรพคุณดีๆอีกเพียบ health.mthai ของเราเลยไม่พลาดที่จะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับสรรพคุณดีๆของ แก่นตะวัน กันค่ะ ไปดูกันเลย…
แก่นตะวัน หรือ Jerusalem Artichoke มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Helianthus tuberous มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับทานตะวัน เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ 1.5-2 เมตร สามารถปลูกและปรับตัวได้ดีในสภาพเพาะปลูกของประเทศไทย เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 เดือน จะออกดอกสีเหลืองคล้ายดอกบัวตอง และเมื่ออายุประมาณ 120 วัน ดอกโรย ต้นเริ่มแห้งก็สามารถขุดเก็บหัวใต้ดินนำมาใช้ประโยชน์ รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำพันธุ์แก่นตะวันจากต่างประเทศมาทดลองปลูกและศึกษาวิจัย และได้มีการตั้งชื่อภาษาไทยขึ้นมา เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในเขตหนาว แต่สามารถปลูกในแถบร้อนได้ดี มีความสามารถปรับตัวในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมาก มีความแข็งแกร่ง ทนทาน จึงให้ชื่อนำหน้าพืชนี้ว่า”แก่น” และเนื่องจากเป็นพืชที่ใกล้ชิดกับทานตะวัน จึงตั้งชื่อพืชชนิดใหม่นี้ว่า “แก่นตะวัน”
1. ลดความอ้วน
อินนูลิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของหัวแก่นตะวัน เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ (Soluble Fiber) ซึ่งร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยได้
ใยอาหารที่ละลายน้ำได้ของอินนูลิน เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร จะมีลักษณะเป็นเจล ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ( delay gastric emptying time) จึงรู้สึกอิ่ม ทานอาหารได้น้อยลง
อินนูลินซึ่งเป็นใยอาหารจะดูดซับน้ำตาลและไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลและไขมันในระบบทางเดินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงได้รับพลังงานน้อยลง
2. ลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน
อินนูลิน จะดูดซับน้ำและน้ำตาล จนมีลักษณะเป็นเจล ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลงและน้อยลง
ร่างกายของเรา ไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยอินนูลิน ดังนั้นเมื่อเราทานหัวแก่นตะวัน เข้าไป จึงไม่ไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด บวกกับเมื่อทานแก่นตะวันจะรู้สึกอิ่มจากคุณสมบัติการเป็นใยอาหารของอินนูลิน ทำให้ทานอาหารอย่างอื่นได้น้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยลง
3. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด
อินนูลินดูดซับไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันได้น้อยลง
น้ำดีซึ่งผลิตจากตับ มีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบ มีบทบาทในกระบวนการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก ซึ่งปกติจะถูกร่างกายดูดซึมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก แต่เมื่อมันถูกดูดซึมไปโดยใยอาหารละลายน้ำ (อินนูลิน) มันก็จะกลายเป็นของเสียถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้ตับต้องผลิตน้ำดีใหม่ โดยการดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาผลิตเป็นน้ำดี ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจึงลดลง
กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) ช่วยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอล โดยตับ
กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) เช่น โปรไพโอนิก แอซิด (Propionic acid) เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการหมัก (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ โดยจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ย่อยสลายใยอาหารที่ละลายน้ำได้ (อินนูลินจากหัว
แก่นตะวัน)
4. ลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด
มีการศึกษาผลของ Fructooligosaccharide (FOS) ในผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงโดยให้บริโภค FOS เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตลดลง โดยเฉลี่ย 6 mmHg และยังพบว่าความดันโลหิตแปรผกผันกับจำนวนของBifidobacteria ในลำไส้ (Bifidobacteria มากขึ้น ความดันโลหิตลดลง) ซึ่งจากหลายๆการศึกษาพบว่า อินนูลินและ FOS ทำให้ Bifidobacteria มีจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้ใน100กรัมของหัวแก่นตะวันมีโปแตสเซี่ยมอยู่ถึง429มิลลิกรัม คิดเป็นร้อยละ9 ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โปแตสเซี่ยมเป็นมิตรกับหัวใจโดยการยับยั้งการทำงานของเกลือโซเดียม ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจที่พบบ่อย เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับคอเลสเตอรอล และโฮโมซิสเตอีน(homocysteine) ในเลือด สำหรับคอเลสเตอรอลเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว และเราก็ทราบว่าแก่นตะวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด แต่สำหรับโฮโมซิสเตอีน(homocysteine) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคอเลสเตอรอล ยังเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก ดูรายละเอียด เกี่ยวกับโฮโมซิสเตอีนได้ ที่นี่ มีรายงานการศึกษาซึ่งระบุว่าแก่นตะวันทำให้ระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดลดลง ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดน้อยลง
5. ลดอาการท้องผูก
ด้วยคุณสมบัติของใยอาหาร ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระ ทำให้อุจจาระชุ่มน้ำ นอกจากนี้ กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) ซึ่งผลิตโดยไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
6. ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
การขับถ่ายที่ดีขึ้น ช่วยลดการสะสมของเสีย หรือสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่
อินนูลิน และ FOS จากแก่นตะวันเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น Lactobacillus , Bifidobacteria ทำให้จุลินทรีย์ดังกล่าว มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและทำให้ภายในลำไส้ใหญ่มีสภาวะความเป็นกรด ซึ่งจะทำให้จุลินทรีย์ก่อโรค เช่น Clostridium , E.coli มีจำนวนน้อยลง (จุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้ไม่ชอบภาวะเป็นกรด) จุลินทรีย์ก่อโรคเหล่านี้ผลิตสารพิษ (Toxic metabolites) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น Nitrosoamines , Indole ดังนั้น เมื่อจุลินทรีย์ก่อโรคน้อยลง สารก่อมะเร็งดังกล่าวก็ลดน้อยลงด้วย
7. เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม
สภาวะความเป็นกรดในลำไส้ใหญ่ จากการได้รับอินนูลินและFOS ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ลดความเสี่ยงโรคกระดูก
8. เพิ่มการผลิตวิตามินบางชนิด
Bifidobacteria สามารถผลิตวิตามิน B1 , B2 , B6 , B12 , nicotinic acid และ folic acid อินนูลินและ FOS จากแก่นตะวันทำให้จำนวน Bifidobacteria มากขึ้น ร่างกายจะได้รับวิตามินเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน B6 , B12 และnfolic acid มีความสำคัญในการทำให้ระดับโฮโมซิสเตอีน(homocysteine)ลดลง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด
9. หัวแก่นตะวัน ใช้เสริมในอาหารสัตว์
มีผลต่อการเจริญเติบโต ลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดการใช้สารเคมีปฏิชีวนะและมูลสัตว์มีกลิ่นเหม็นน้อยลง
ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานแก่นตะวัน
ยังไม่มีการกำหนดอย่างแน่ชัด คงเป็นเรื่องของปริมาณสารสำคัญ/สารออกฤทธิ์ที่ต้องการ และขึ้นกับความชอบในการรับประทานของแต่ละบุคคล เนื่องจากการทานสดไม่ว่าจะปอกเปลือกหรือไม่ปอก แก่นตะวันก็จะมีเนื้อที่ค่อนข้างแข็ง เหมือนทานแห้วผสมมันแกว บางคนชอบแบบหวานกรอบ แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาเรื่องขบเคี้ยวอาจทำให้ทานลำบาก แต่ก็สามารถนำไปหั่นหรือปั่นได้ จากข้อมูลดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า แก่นตะวันสด 100 กรัม หรือ 1 ขีด (ประมาณ3-5 หัว) ก็จะทำให้ได้อินนูลินสูง (ค่าเฉลี่ย 16.4 กรัม) ซึ่งหากนำมารวมกับใยอาหาร (4กรัม) แล้วจะทำให้ปริมาณใยอาหารทั้งหมดที่ร่างกายได้รับคือ 20.4 กรัม ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 82 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยที่อายุ 6 ปีขึ้นไป (สำหรับใยอาหารคือ 25 กรัม) ซึ่งจัดได้ว่าแก่นตะวันเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยใยอาหาร ที่ไม่มีไขมัน และพลังงานต่ำ (ร้อยละ 4 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน)
หากผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แนะนำให้รับประทานก่อนอาหารประมาณ 30 นาทีจะช่วยให้อิ่มท้อง จะทำให้อยากอาหารน้อยลง แต่สำหรับคนทั่วไปสามารถเลือกรับประทานได้ตามความชอบ ไม่ว่าจะทานก่อนอาหาร ระหว่างมื้อ หรือหลังอาหาร หรือเป็นของทานเล่นก็ได้
สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคบางชนิด เช่นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต เป็นต้น ควรมีการทดสอบว่ามีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือด รวมทั้งความดันว่ามากน้อยขนาดไหน โดยการทดลองรับประทานแต่น้อย (ประมาณ 1 หัว) แล้วสังเกตุอาการว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ค่อยๆเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนถึง 100 กรัม เนื่องจากแก่นตะวันมีสารที่มีบทบาทหลายด้าน บางคนอาจมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงมาก อาจให้เกิดอันตรายได้ ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" คือใช้ได้ดีกับอีกคนแต่อาจไม่ดีกับอีกคน เป็นได้ อย่างไรก็ตามหากต้องการทดสอบ แนะนำให้รับประทานไปกับมื้ออาหารปกติ จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายน้อยกว่าการทานก่อนหรือหลังอาหาร
สรุป แก่นตะวันจัดเป็นพืชอาหาร ที่รับประทานแล้วทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีหลายด้าน เช่นช่วยในการขับถ่าย ลดไขมันและคอเลสเตอรอล ช่วยควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลเป็นอาหารที่ดีต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ (พรีไบโอติก) ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุโดยเฉพาะแคลเซียม จากลำไส้ใหญ่เข้าสู่ร่างการก่อนปล่อยเป็นอุจจาระ สำหรับคนทั่วไปควรรับประทานแก่นตะวันเหมือนผักและผลไม้ คือทานประมาณ 1ขีดต่อวัน (3-5 หัว) จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพดังกล่าวมาแล้วข้างต้น

ผักกาดหัว

ผักกาดหัว


ชื่อวิทยาศาสตร์ Raphanus sativus Linn., Cv group Chinese radish


ชื่อสามัญ Chinese radish, Oriental radish, Daikon


วงศ์ Cruciferae

ชื่ออื่น ไช่เท้า,หัวผักกาดขาว (ทั่วไป) ; ผักกาดจีน(ภาคกลาง) ; ผักขี้หูด, ผักเปิ๊กหัว(ภาคเหนือ) ; ไหล่ฮก, จี๋ซ้ง (จีน)

ลักษณะ :

เป็นพืชจำพวกผัก มีรากสะสมอาหารลักษณะทรงกระบอกใหญ่ยาว สีขาวหรือสีอื่น ต้นสูงประมาณ 1 เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบแตกออกจากโคนต้นเป็นกอ ยาว 12-12 ซม. ตัวใบใหญ่ปลายใบมน ขอบใบมีรอยเว้าลึก 4-6 คู่ทั้ง 2 ข้าง ขอบใบมีรอยหยักคล้ายฟัน ก้านใบลักษณะสามเหลี่ยม ขอบมนใบที่ออกจากต้นที่ชูสูงขึ้นจะมีขนาดเล็กลง ใบรูปไข่กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 3-5 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบมีรอยหยักตื้น ๆ หรือแทบไม่มีเลย โคนใบมีก้านสั้น ๆ หรือแทบไม่มี ดอกออกเป็นช่อจากปลายก้านดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีเขียวเป็นแผ่นยาวปลายมนกลม กลีบดอกมี 4 กลีบ เป็นแผ่นยาวปลายมนกลมสีม่วงอ่อนหรือสีชมพู ส่วนโคนกลีบดอกสีขาว มีเกสรตัวผู้ 4 อัน และเกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่ลักษณะเป็นฝักยาวกลม ผลเป็นฝักยาวมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดกลม แบนเล็กน้อยมีสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 มม. 

คุณค่าทางอาหาร :

ในหัวผักกาดขาวสดส่วนที่ใช้เป็นอาหารได้ 100 กรัม มีน้ำ 91.7 กรัม โปรตีน 0.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม ความร้อน 250,000 แคลอรี่ เส้นใยหยาบ 0.8 กรัม ash 0.8 กรัม คาโรทีน (Carotene) 0.02 มก.วิตามินบีหนึ่ง 0.02 มก. วิตามินบีสอง 0.04 มก. กรดนิโคตินิค (Nicotinic acid) 0.5 มก. วิตามินซี 30 มก. แคลเซียม 49 มก. ฟอสฟอรัส 34 มก. เหล็ก 0.5 มก. โปแตสเซียม 196 มก.ซิลิกอน 0.024 มก. แมงกานีส 1.26 มก. สังกะสี 3.21 มก. โมลิบดีนัม 0.125 มก. โบรอน 2.07 มก.ทองแดง 0.21 มก. นอกจากนี้ยังมีกลูโคส (Glucose) ซูโครส (Sucross) Fructose Coumaric acid,Ferulic acid, Gentisic acid, Phenylpyruvic acid และกรดอะมิโนหลายชนิด

เมล็ด มีไขมัน เช่น: -Erucic acid, Linolenic acid และ Glycerol sinapate เป็นต้น น้ำมันหอมระเหยที่สำคัญคือ Methyl mercaptan นอกจากนี้ยังมีสารที่ยับยั้งแบคทีเรีย คือ Raphanin

สรรพคุณ

ราก : รสชุ่ม เย็น ละลายเสมหะ แก้พิษ ท้องอืดแน่นเนื่องจากกินมากเกิน เสมหะมากไม่มีเสียง อาเจียนเป็นเลือด กระอักเลือด กระหายน้ำ บิด และปวดหัวข้างเดียว รากทำให้สุก ใช้เป็นยาระบาย สมานลำไส้ บำรุงม้าม ขับเสมหะ เรียกน้ำลาย แก้คันและบำรุงเลือด
เมล็ด : รสเผ็ด ชุ่ม เย็น เมล็ดคั่วแล้วมีรสเผ็ด ชุ่ม สุขุม ใช้เป็นยาระบาย ระงับอาการหอบ ช่วยย่อยอาหาร ขับเสมหะ แก้ไอหอบมีเสมหะมาก ท้องอืดแน่น บิด และแก้บวม
ใบหรือทั้งต้น : รสเผ็ด ขม สุขุม ทำให้เจริญอาหาร แก้ท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว ท้องอืดแน่น อาหารไม่ย่อย บิด ท้องร่วง เจ็บคอ ต่อมน้ำนมบวม และน้ำนมคั่ง
ใบสด : คั้นเอาน้ำทา แก้ผิวหนังเป็นผื่นคันมีน้ำเหลือง

1.อาหารไม่ย่อย ท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว ใช้รากหรือใบสดเคี้ยวกินเล็กน้อย สำหรับรากและใบสุกแห้งหรือดองเกลือกินจะไม่ได้ผล

2.คลื่นไส้อาเจียนเรอเปรี้ยว ใช้รากสดตำให้ละเอียด ต้มกับน้ำผึ้งเคี้ยวกิน

3.เสียงแหบแห้ง ใช้รากสดคั้นอำน้ำผสมน้ำขิงกิน

4.เลือดกำเดาออกไม่หยุด ใช้รากสดคั้นเอาน้ำผสมเหล้าเล็กน้อยกิน และเอาน้ำคั้นสวนจมูกข้างที่มีเลือดออก หรือเอาน้ำคั้นผสมเหล้าต้มให้เดือดสูดดมไอและต้มน้ำคั้นผสมเหล้ากิน

5.ท้องผูกเนื่องจากการบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ ใช้รากสด 500 กรัม หั่นเป็นแผ่นใส่น้ำ 1 ลิตร ต้มให้เหลือน้ำ 100 มล. กินครั้งเดียวหมด วันละ 1 ครั้ง

6.คอแห้ง กระหายน้ำ ใช้รากสดคั้นเอาน้ำกิน 1 ถ้วย (ประมาณ 25 มล.)

7.ปวดหัวข้างเดียว ใช้รากสดคั้นเอาน้ำขนาด 1 เปลือกหอยแคลง ให้ผู้ป่วยนอนหงายเอาน้ำคั้นหยอดจมูกทั้ง 2 ข้างทีละข้าง

8.แผลไฟลวก กล้ามเนื้ออักเสบ ใช้รากสดหรือเมล็ดตำให้ละเอียดพอก

9.ฟกช้ำ ห้อเลือดจากกระทบกระแทก ใช้รากสดหรือใบสดตำให้ละเอียดพอก หรือใช้เมล็ดตำให้ละเอียดผสมเหล้าพอก

10.ปากเป็นแผลเปื่อยเจ็บ ใช้รากสดต้มเอาน้ำชะล้างและใช้รากแห้งบดเป็นผงทา

11.เท้าเป็นแผลเจ็บ ใช้รากสดต้มเอาน้ำชะล้างละใช้รากแห้งบดเป็นผงทา

12.ไอเรื้อรังมีเสมหะมากทำให้หอบ เสมหะมีเลือดปน ใช้เมล็ด 1 ถ้วย (ประมาณ 10 กรัม) บดต้นน้ำกิน

13. มีเสมหะเหนียว หอบหืดหายใจลำบากหรือหายใจขัด ใช้เมล็ดล้างให้สะอาด นึ่งให้สุก บดให้ละเอียด ผสมน้ำขิงทำเป็นยาเม็ดขนาดเมล็ดถั่วเขียว กินครั้งละ 30 เม็ด วันละ 3 ครั้ง

14. ท้องอืดแน่น อึดอัดใช้เมล็ดคั่วให้แห้งบดเป็นผงกินครั้งละ 3 กรัม

ขนมผักกาด (ไช้เถ่าก้วย) 

ขนมผักกาด หรือที่คนจีนเรียก ไช้เถ่าก้วย.. ขนม (อาหาร) จีนโบราณที่คนรุ่นปัจจุบันไม่ค่อยรู้จักกันนัก นอกจากคนเชื้อสายจีนที่พ่อแม่เคยทำให้ทานตอนเด็กๆ ในช่วงเทศกาลกินเจ หรือเทศกาลอยากกิน (เจ) แต่ก็มีคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่เคยทาน และติดใจในรสชาดของขนมผักกาดที่เป็นแป้งขาวๆ ก้อนสีเหลี่ยมที่เค้านำมาผัดลักษณะเดียวกับผัดไทยบ้านเรา.... แต่ถ้าหากได้ลอง “ขนมผักกาดทรงเครื่อง” แบบโบราณที่จะแนะนำในอีกไม่กี่นาทีนี้.....อาจจะลืมเจ้าก้อนขาวๆ เหลี่ยมๆ ไปเลยก็ได้...

ตัวผู้เขียนเองรู้จักไช้เถ่าก้วยตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เพราะเกิดในตระกูลเชื้อสายจีนแต้จิ๋วแท้ๆ และติดใจในรสชาดตั้งแต่ได้ลิ้มรสครั้งแรก... จนผ่านมาเกือบยี่สิบปีถึงคิดจะสืบทอดฝีมือการทำขนมไช้เถ่าก้วย (ทรงเครื่อง) จากต้นตระกูล เพราะกลัวรสชาดที่ติดปากจะหายไปพร้อมๆ กับกาลเวลา... ถึงตอนนี้ผู้เขียนทำจนเป็นซิกเนเจอร์ของขนมโฮมเมดที่บ้านแล้ว....

ลองทำทานเอง อย่างที่บอกสูตรนี้ได้มาจากต้นตระกูล เพราะฉะนั้นผู้เขียนจะคงส่วนผสม และเครื่องปรุงไว้เดิมๆ หากใครอยากปรับเป็นเจก็เพียงแต่ลดหมู ลดกุ้งลง เปลี่ยนเป็นเผือก ก็จะได้ไช้เถ่าก้วยทรงเครื่อง (เจ) ที่ต้องการ...

สิ่งที่ต้องเตรียม. หัวไช้ท้าว ปลอกเปลือกออก ล้างให้สะอาด สไลด์หรือขูดเป็นเส้นๆ ๒ กก. (ขูดแล้ว), หมูสันนอกนุ่มๆ ๑/๒ กก. หั่นเต๋าแล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อย ๑ คืน, กุ้งแห้ง ๑ ขีด ล้างสะอาดแล้วต้มน้ำทิ้ง ๑ น้ำ, ถั่วลิสงต้ม ๒ ขีด (แช่น้ำทิ้งไว้ก่อน ๑ คืน จะได้สุกไว), เห็ดหอม ๕-๖ ดอก ล้างสะอาด แช่น้ำจนนิ่ม แล้วนำมาหั่นตามยาวบางๆ, คึ่นฉ่าย และต้นกระเทียม ๑ กำ ล้างสะอาด ซอยหยาบๆ, แป้งข้าวเจ้า ๑/๒ กก., แป้งมัน ๑-๒ ชต.

เครื่องปรุง. น้ำตาล ๑ ชต., เกลือ ๑ ชต., พริกไทย ๑ ชต. (สามารถปรับได้ตามรสชาดที่ต้องการ)

วิธีทำ. (ขั้นตอนนี้แนะนำให้ใส่ถุงมือ เพราะหากไช้ท้าวสัมผัสถูกมือจะแสบเล็กน้อย)

๑. เทแป้งข้าวเจ้า และแป้งมันลงในภาชนะทรงกลมค่อนข้างใหญ่ คลุกให้เข้ากัน

๒. ใส่หัวไช้ท้าวที่ขูดเป็นเส้น (เทน้ำที่ออกมาจากหัวไช้ท้าวออกให้หมดก่อน) ตามด้วยส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไป

๓. ใสเครื่องปรุงทั้งหมดตามลงไ

๔. คลุกเคล้าส่วนผสม และเครื่องปรุงทั้งหมดด้วยสองมือ ขยำเบาๆ จนทุกอย่างเข้ากันดี หากแห้งไปสามารถใช้น้ำที่แช่เห็ดพรมลงไปเล็กน้อย หากมีน้ำที่เกิดจากหัวไช้ท้าวขณะที่นวด ไม่ต้องตกใจ

๕. แบ่งใส่ภาชนะตามที่ต้องการ นำไปนึ่งหนึ่งชั่วโมงครึ่ง (เวลาของการนึ่งขึ้นอยุ่กับภาชนะที่นำมาใส่ด้วย หากภาชนะลึกหรือใหญ่มากก็ใช้เวลามากหน่อย หากทำทีละน้อย ใส่ถ้วยเล็กๆ ประมาณครึ่งถึงสีสิบห้านาทีก็พอ) สามารถเช็คว่าสุกได้ที่หรือยังสำหรับคนทำครั้งแรก โดยการใช้ไม้ลูกชิ้น หรือตะเกียบทิ่มดู หากไม่ติดเนื้อขึ้นมาถือว่าใช้ได้แล้ว)

๖. เมื่อสุกแล้ว ยกออกจากซึ้ง รอจนขนมเย็น แล้วนำเข้าตู้เย็นแช่ช่องธรรมดา ๑ คืน เพื่อให้ขนมฟอร์มตัวพร้อมทาน 

ผู้เขียนใช้เวลานึ่งครั้งละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพราะทำครั้งละจำนวนมากๆ (ทั้งทานเอง ทั้งแจก) และภาชนะที่นำมาใส่ค่อนข้างลึก แถมไม่เหมือนชาวบ้านอีก.... ตัวภาชนะผู้เขียนขอเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างมาก (เพราะไม่อยากเป็นคนโบราณ) 555 .. 

เมื่อเราได้ไช้เถ่าก้วยที่ทำจากฝีมือเราเองแล้ว ทีนี้ไม่ว่าจะนำมานึ่ง (อุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟ) หรือจะนำมาทอดให้พอกรอบนอกนุ่มใน หรือจะนำมาผัด.....ก็...อร่อยยยยย.... ลองทำดูนะ...

หรือนำมาผัดเป็นขนมผักกาดทรงเครื่องก็อร่อยอย่าบอกใครเชียว

วิธีผัดก็ไม่ยากะ โดยการเตรียม เครื่องปรุงก็มีน้ำตาล พริกไทย พริกป่น น้ำส้มสายชู ซี่อิ๊วขาว และซ้อสหอยนางรม

๑. ทอดไช้เถ่าก้วยพักใส่จานไว้

๒. ตั้งกะทะน้ำมันเล็กน้อยให้ร้อน ใส่กระเทียมลงผัดพอหอม ตามเห็ดหอมผัดจนขึ้นหอม ตามด้วยหัวไช้โป๊วซอย เต้าหู้ซอยและถั่ว่ลิสงต้ม ผัดให้เข้ากันอย่างเร็วๆ พักไว้อีกด้านของกะทะ

๓. ใส่น้ำมันเล็กน้อยลงกะทะอีกด้าน ตอกไข่ไก่ลงไป ยีเบาๆ ให้ทั่ว เกลี่ยเครื่องที่ผัดไว้ลงบนไข่ ใส่ใบกุ้ยช่ายและถั่วงอกลงไ

๔. ขั้นตอนนี้ค่อนข้างเร็ว หลังจากใส่ถั่วงอกและใบกุ้ยช่ายหั่นลงไปแล้ว เหยาะน้ำส้มสายชูเล็กน้อย น้ำตาล พริกไทย พริกป่นเล็กน้อยซี่อิ๊วขาว และซ้อสหอยนางรม ผัดให้ทั่วแบบเร็วๆ ชิมรส ตักใส่บนไช้เถ่าก้วยที่ทอดพักใส่จานไว้ เสิรฟ์พร้อมถั่วงอก ใบกุ้ยช่าย ถั่วลิสงป่น และมะนาว เท่านี้ก็อร่อยเป็นมื้อเย็น หรือต้อนรับแขกผู้มาเยือนแล้ว

หมายเหตุ: ที่ต้องแยกทอดไช้เถ่าก้วยพักใส่จานไว้ต่างหาก เพราะไช้เถ่าก้วยเราปรุงรสไว้เรียบร้อยแล้ว หากนำลงไปผัดพร้อมกัน จะเค็มเกินไป





เห็ดโคน อิ่มด้วยคุณประโยชน์





เห็ดโคน อิ่มด้วยคุณประโยชน์
'เห็ด' เป็นพืชที่คนไทยคุ้นเคยมาเป็นเวลานาน และเห็ดนั้นก็จัดได้ว่ามีมากมายหลายประเภท ซึ่งเห็ดแต่ละประเภทนั้นก็ให้ประโยชน์และให้โทษต่างกันไป สำหรับการเลือกกินเห็ดนั้นควรศึกษาชนิด หรือประเภทให้ดีก่อน เพราะเห็ดบางประเภทนั้นให้โทษถึงแก่ชีวิต
ในทุกๆ ฤดูปลายฝนต้นหนาว จะมีเห็ดอยู่หนึ่งชนิดที่ออกดอกมาให้กินแค่ในช่วงระยะเวลาไม่นานนี้เท่านั้น ซึ่งเห็ดที่ว่านั้นก็คือ “เห็ดโคน” ซึ่งเห็ดโคนเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ พบมากในป่าที่มีจอมปลวก จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเห็ดปลวกนั่นเอง
สำหรับเห็ดโคนนั้นก็เรียกได้ว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย มีทั้งวิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินซี ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเป็นยาบำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ หากกินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ ซึ่งจากการทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่า น้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบางชนิด เช่นเชื้อไทฟอยด์ ได้อีกด้วย
เรียกได้ว่าประโยชน์ของเห็ดโคนนั้นมีมากมายไม่แพ้ความอร่อยเลย อีกทั้งเห็ดโคนยังสามารถนำมาทำเป็นเมนูต่างๆ ได้มากมาย อาทิ ยำเห็ดโคน ต้มยำเห็ดโคน ผัดเห็ดโคน หรือจะนำไปเป็นส่วนผสมเมนูอื่นๆ ก็สามารถทำได้
เห็ดโคนมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Termitomyces fuliginosus Heim อยู่ในวงศ์ Termitophilae
เห็ดโคนเป็นเห็ดป่าที่หาได้เฉพาะในฤดูที่มันออกคือราว ๆ เดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม จำง่าย ๆ ก็คืนในช่วงเข้าพรรษา และจะมีมากหน่อยก็ช่วงออกพรรษาแล้วประมาณเดือนตุลาคม
เห็ดโคนเป็นเห็ดชนิดเดียวที่ไม่สามารถเพาะเลี้ยงในเชิงพานิชย์ได้ จะขึ้นเองตามธรรมชาติเท่านั้น ใครอยากกินเห็ดโคนต้องรอจนกว่าจะถึงฤดูที่มันออก ซึ่งก็มีระยะเวลาสั้น ๆ และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เหมาะสมจึงจะออกดอก เห็ดโคนจะออกดีตอนอากาศร้อนอบอ้าวมีฝนพรำ ๆ
เห็ดโคนส่วนมากจะขึ้นตามจอมปลวกเก่า ๆ ที่ปลวกทิ้งรังไปแล้ว และมักจะขึ้นในที่ซ้ำ ๆ กันเกือบทุกปี คนหาเห็ดโคนเคยคุยให้ฟังว่า เห็ดโคนแห่งใดขึ้นวันไหนในปีต่อ ๆ ไปมักขึ้นในวันนั้น คนหาเห็ดที่รู้แหล่งก็มักจำวันเวลาไว้ เมื่อถึงวันเวลาในปีถัดไปก็ไปยังที่นั้น ๆ มักไม่ผิดหวัง (เท็จจริงอย่างไรผมไม่แน่ใจ)
คนหาเห็ดโคนบอกว่าหาตอนกลางคืนจะหาง่ายกว่าตอนกลางวัน เพราะตอนกลางคืนหัวเห็ดโคนจะสะท้อนแสง หาตอนกลางวันจะไม่ค่อยเจอ เพราะเห็ดโคนจะฝังอยู่ใต้ดินโผล่พ้นดินขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถ้าโผล่ขึ้นมามากก็ต่อเมื่อมันบานแล้วซึ่งราคาจะไม่ดีเท่าเห็ดตูม ๆ
เพราะเป็นเห็ดที่หายากเพราะเลี้ยงไม่ได้และขึ้นปีละครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ เห็ดโคนจึงมีราคาแพงมาก กิโลละ 250-300 บาท ถ้าดอกสวย ๆ อาจถึง 350-400 บาท แล้วแต่ละท้องถิ่น
เห็ดโคนมีรสชาติอร่อยเนื้อนุ่มและมีรสหวาน โดยเฉพาะดอกที่ยังตูมอยู่เอามาต้มจะออกรสหวานมาก เห็ดโคนสามารถนำไปทำอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะยำ แกง ต้มยำ ผัดและอื่น ๆ อีกมากแล้วแต่ใครจะคิดประดิษฐ์เอาตามชอบใจ แต่ถ้าจะให้ได้รสเห็ดจริง ๆ แค่เอาเห็ดโคนต้มกับน้ำปลาหรือเกลือให้ออกรสเค็มพอดี ๆ กินเปล่า ๆ จะได้รสหวานนุ่มของเห็ดโคนกินกับข้าวร้อน ๆ อร่อยอย่าบอกใคร บางคนชอบบีบมะนาวหั่นพริกกะเหรี่ยงหอม ๆ ใส่ลงไปสักเล็กน้อยก็อร่อยไม่เบา ใครเอาสะเต็กมาแลกก็ไม่ยอม

งา





งา แหล่งโปรตีนและแร่ธาตุสูง
งาเป็นพืชไร่น้ำมันที่เสริมรายได้ให้เกษตรกร เนื่องจากลงทุนต่ำ ใช้เวลาปลูกสั้น และทนแล้งได้ดี มีตลาดกว้างขวาง และราคาดี เกษตรกรนิยมปลูกงาก่อนหรือหลังพืชหลัก งาจึงเป็นพืชที่นิยมในระบบการปลูกพืช งาถูกใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพเนื่องจากเมล็ดงามีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 85 เปอร์เซ็นต์ มีโปรตีน 17-18 เปอร์เซ็นต์ มีสารต้านทานอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูง ไม่หืนง่าย งาเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องสำอาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sesamum indicum L.
ชื่อสามัญ : Sesame
วงศ์ : Pedaliaceae
ชื่ออื่น : งาขาว งาดำ นีโซ (กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ไออยู่มั้ว (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-100 ซม. ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีร่องตามยาวของลำต้น มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือสลับ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ หรือรูปใบหอก กว้างประมาณ 2-5 ซม. ยาวประมาณ 6-10 ซม. ดอกเป็นดอกเดี่ยว เป็นหลอด ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาวหรือสีชมพู ออกโดยรอบลำต้นตอนบน ผลเป็นผลแห้ง มี 4 พู เมล็ดแบน ขนาดเล็ก มีจำนวนมาก รูปไข่ สีดำ เรียก”งาดำ” สีขาวหรือสีนวล เรียก” งาหม่น”
งา เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 และวิตามิน ไบโอติน โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค สารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ นอกจากนี้ในงายังมีกรดไขมันไลโนลีอิกอยู่มากด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี
ผู้ที่มีอาการเกิดจากระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เป็นเหน็บชา ปวดเส้นตามตัว แขน ขา เบื่ออาหาร ท้องผูก หรือเมื่อยสายตา ควรหันมารับประทานงาเป็นประจำนะคะ เพราะสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้ นอกจากนี้แล้วงายังเป็นอาหารต้านมะเร็งและช่วยชะลอความชราให้ช้าลงไปอีกด้วย
งาเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุ ธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ธาตุไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า งามีแคลเซียมมากกว่าพืชผักชนิดอื่นถึง 20 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักอื่น ๆ 20 เท่า ซึ่งธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญมาก ๆ ในการเสริมสร้างกระดูก
ทางการแพทย์ถือว่า งาเป็นอาหารที่สามารถบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีและยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ยังป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก บำรุงกระดูก บำรุงรากผม รักษาอาการนอนไม่หลับ และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิด
สรรพคุณทางยา
หากปัสสาวะ อุจจาระขัด ใช้เมล็ดงา 20-25 กรัม แช่ในน้ำเดือด หรือต้มรับประทานขณะท้องว่าง ถ้าความดันโลหิตสูงให้ใช้ เมล็ดงา น้ำส้ม ซีอิ๊วและน้ำผึ้งอย่างละ 30 กรัม ผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง คนให้เข้ากันแล้วต้มด้วยไฟอ่อน ๆ จนสุก รับประทานวันละ 3 ครั้งเป็นประจำ ถ้าไอแห้ง ไม่มีเสมหะ ให้นำเมล็ดงา 250 กรัม น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม บดรวมกันรับประทานครั้งละ 15-20 กรัม จากนั้นนำผงที่ได้เติมน้ำเดือดไว้สัก 2-3 นาที ดื่มขณะยังอุ่น ๆ วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น นอกจากนี้น้ำมันงายังกระตุ้นการงอกของเส้นผม โดยไปเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตรอบ ๆ รูขุมขนบนหนังศีรษะ เพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวพรรณ และต้านอนุมูลอิสระ บำรุงเส้นผม ป้องกันการแก่ตัวและยืดอายุเซลล์ผิวหนังอีกด้วย
ด้านแพทย์จีน ยกเป็นยาบำรุงกำลัง ปรับเลือดลม บำรุงตับ บำรุงน้ำนม รักษาประสาทส่วนปลายอักเสบโดยมีตำรับยาง่ายๆดังนี้
ปัสสาวะ อุจจาระขัด ใช้เมล็ดงา ๒o -๒๕ กรัม แช่ในน้ำเดือดหรือต้ม และรับประทานในขณะท้องว่าง
ลดความดันโลหิตสูง นำเมล็ดงา น้ำส้ม ซีอิ๊ว และน้ำผึ้ง อย่างละ ๓o กรัม ผสมไข่ขาว ๑ ฟอง คนให้เข้ากันดี ต้มด้วยไปอ่อน จนสุกรับประทานเป็นประจำวันละ ๓ ครั้ง
ไอแห้ง ไม่มีเสมหะ ใช้เมล็ดงา ๒๕o กรัม น้ำตาลทรายแดง ๕o กรัม บดรวมกัน รับประทานครั้งละ ๑๕-๒o กรัม วันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น โดยนำยาผงที่ได้ใส่ในน้ำเดือด แช่ไว้สักพัก และดื่มขณะยังอุ่น
ขับพยาธิเข็มหมุด เมล็ดงา ๕o กรัมเติมน้ำต้มจนได้น้ำข้น กรองส่วนน้ำมาปรุงด้วยน้ำตาลทรายแดง ดื่มขณะท้องว่างครั้งเดียวให้หมด
ส่วนการใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร ตามทฤษฎีเกษตรธรรมชาติ ของอาจารย์โช หรือฮาน คิว โช เจ้าของแนวคิดและทฤษฎีการใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่นจากประเทศเกาหลี เนื่องด้วยต้นงานั้นอุดมไปด้วยกรดฟอสฟอริก มีความสำคัญต่อการสร้างนิวเคลียสของเซลล์ในพืช โดยเฉพาะในระยะสืบพันธุ์ หากขาดฟอสฟอรัสจะทำให้การแบ่งเซลล์หยุดชะงัก และการออกดอกออกผลจะผิดปกติ
ทั้งนี้ วิธีทำง่ายๆเพียงนำต้นงามาเผา ใช้ขี้เถ้า ๑ กิโลกรัม ผสมน้ำ ๑oo ลิตร หมักไว้ ๒o วันและปั๊มลมเติมอากาศให้กับน้ำที่หมัก จากนั้นใช้น้ำหมักฟอสฟอรัส o.๗ ลิตร ผสมน้ำ ๒o ลิตร ฉีดพ่นให้พืชในระยะเปลี่ยนวัย จะช่วยให้พืชสร้างตาดอกผสมเกสรดีขึ้น ส่งเสริมการเกิดตาดอกที่สมบูรณ์เพิ่มปริมาณและเพิ่มความหวานให้กับผลผลิต
การแปรรูปงา
การสกัดน้ำมันงา
การสกัดน้ำมันงาโดยใช้แรงงานสัตว์ เป็นอีกวิธีการหนึ่ง ซึ่งชาวไทยใหญ่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้ วิธีการนี้ทำได้โดยนำเมล็ดงาที่ตากแดด 5-6 วันให้ร้อน นำไปใส่ในครกไม้ซึ่งมีความจุประมาณ 22-25 ลิตร (ประมาณ 15 กิโลกรัม) แล้วใช้แรงงานจากวัวหรือควายลากสากให้หมุนเป็นวงกลมไปรอบ ๆ ครก สากไม้จะบีบให้เมล็ดงาเบียดกับครกจนป่นและมีน้ำมันซึมออกมา พอเริ่มถึงชั่วโมงที่สองเติมน้ำร้อนลงไปครั้งละประมาณ 150 มิลลิลิตร จำนวน 7 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 10 นาที (ใช้น้ำ 3 กระป๋อง/งา 1 ครก) ในชั่งโมงที่ 3 จะสังเกตเห็นน้ำมันลอยแยกขึ้นมาข้างบน เปิดช่องซึ่งอยู่ส่วนบนของครกให้น้ำมันไหลออกสู่ภาชนะรองรับ ในการสกัดน้ำมันแต่ละครั้งจะได้น้ำมัน 7-8 ขวด (ขนาด 750 ซีซี.) และใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
ปัจจุบันได้มีการปรับปรุงพัฒนานำเครื่องจักรและมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้ โดยเป็นระบบไฮโดรลิคและเกลียวอัด ซึ่งสามารถทำงานได้ต่อเนื่องตลอดเวลา น้ำมันงาที่ได้จะเป็นน้ำมันงาบริสุทธิ์ (virgin oil) โดยอาจเป็นน้ำมันงาดิบ ซึ่งได้จากงาที่ไม่ผ่านการคั่ว เป็นน้ำมันที่เหมาะที่จะใช้สำหรับทาภายนอกแก้อาการปวดเมื่อย หรือเป็นน้ำมันงาที่ได้จากเมล็ดงาที่ผ่านการคั่วให้มีกลิ่นหอม ซึ่งน้ำมันที่ได้จะมีสีคล้ำ เหมาะสำหรับใช้ปรุงแต่งรสอาหาร
วิธีการสกัดแบบนี้จะสกัดน้ำมันออกไม่หมด จะมีน้ำมันงาเหลืออยู่ประมาณ 5 – 20% ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องบีบน้ำมัน ถ้าจะทำให้น้ำมันออกหมดต้องใช้สารละลายนอร์มอล เฮกเซน ละลาย น้ำมันที่เหลือให้มารวมตัวกับสารละลาย แล้วจึงกลั่นไล่สารละลาย
เฮกเซนออกให้หมด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและอันตราย เนื่องจากสารละลายเฮกเซนเป็นสารไวไฟ จึงต้องใช้ความระมัดระวัง ในการปฏิบัติงาน แต่กากงาที่ได้จากวิธีนี้มีน้ำมันหลงเหลืออยู่น้อยกว่า 0.5%
น้ำมันที่ได้มาจากกรรมวิธีการสกัดต่าง ๆ นี้ยังมีสิ่งเจือปน จำเป็นต้อง ทำให้บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน สารยางเหนียว กรดไขมันอิสระ สีและกลิ่น โดยผ่านกรรมวิธีการกำจัดในขั้นตอนการตกตะกอน การกำจัดกรด การล้างน้ำมัน การฟอกสีและการกำจัดกลิ่น
การทำแป้งงา
หลังจากสกัดน้ำมันออกหมดด้วยสารละลายเฮกเซน ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ของการสกัดน้ำมัน แล้วอบไล่สารละลายเฮกเซน โดยใช้อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ภายใต้ความดันประมาณ 15 มม. ปรอทนาน 30 นาที จะได้กากงาที่มีคุณภาพสูง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นกาก ที่ได้จากเมล็ดงาที่ลอกเปลือกออกแล้ว จะได้กากงาที่ไม่มีรสขม)
เมื่อนำกากงาที่ได้ไปบดเป็นแป้ง และนำไปผสมกับแป้งถั่วเหลืองที่ได ้จากกรรมวิธีเดียวกัน ในสัดส่วนที่พอเหมาะแล้วนำเข้าเครื่อง Extruder จะได้ผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชที่มีคุณภาพดีเท่าเทียมกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะงามีปริมาณกรดอะมิโนไลซีนต่ำ ประมาณ 0.19 กรัม/ปริมาณโปรตีน 1 กรัม ขณะที่ถั่วเหลืองมีถึง 0.42 กรัม แต่มีเมทไธโอนีนสูง 0.14 กรัม/โปรตีน 1 กรัม ขณะที่ถั่วเหลืองมีกรดอะมิโนดังกล่าว 0.04 กรัม/โปรตีน 1 กรัม
นอกจากนี้ยังสามารถแยกโปรตีนชนิดเข้มข้นและชนิดบริสุทธิ์จากกากงา เพื่อนำไปทำผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ได้อีกมาก หรือนำไปใช้เป็นส่วนผสมเพิ่มโปรตีนในขนมปัง ขนมอบกรอบ อาหารโปรตีนจากพืชเป็นอาหารที่ร่างกายย่อยได้ง่าย เหมาะที่จะใช้เป็นอาหารบำรุงสำหรับคนไข้
การทำงาขัด
งาขัด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่างาล้าง คือ เมล็ดงาที่แยกเปลือกออก ทำให้ได้เมล็ดงาสีขาวน่ารับประทาน และไม่มีรสขม เนื่องจากเปลือกงาซึ่งมีแคลเซี่ยมออกซาเลท และเยื่อใยอยู่สูงถูกกำจัดออกไป งาขัด นิยมใช้โรยหน้า หรือปรุงแต่ง ขนมต่าง ๆ หลายชนิด นอกจากนี้การส่งออกเมล็ดงาไปยังต่างประเทศก็มักส่งออกในรูปงาขัด เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความต้องการใช้งาขาว แต่ประเทศไทยผลิตได้น้อย พ่อค้าส่งออกจึงนำงาเมล็ดสีดำ หรือสีน้ำตาลมาลอกเปลือกออกให้เป็นสีขาว
การทำงาคั่ว
นำเมล็ดงามาทำความสะอาดเอาเศษ หิน ดิน หรือวัสดุต่าง ๆ ที่เจือปนออก หลังจากนั้นนำไปล้างในน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง โดยอาจล้างบน ตะแกรงร่อนแป้งซึ่งมีรูตาข่ายเล็กละเอียด หรือในถุงผ้าตาข่ายละเอียด เพื่อให้เศษฝุ่นผงดินต่าง ๆ เล็ดลอดออกไป เหลือเฉพาะเมล็ด งาที่สะอาดปราศจากสิ่งเจือปน จากนั้นนำไปผึ่งแดดให้แห้งพอหมาด แล้วนำไปคั่วโดยใช้ไฟปานกลางและคนตลอดเวลา การคั่วแต่ละครั้ง ควรใช้งาครั้งละไม่มาก เช่น งา 1 กิโลกรัม ควรแบ่งคั่วประมาณ 3 ครั้ง คั่วจนเมล็ดงาเริ่มแตกและมีกลิ่นหมอแสดงว่าสุกได้ที่ เติมน้ำเกลือโดยพรมให้ทั่ว คนต่อเล็กน้อยแล้วยกลงจากเตาไฟ ทิ้งไว้จนมีอุณหภูมิปกติจึงบรรจุในภาชนะที่ปิดฝาสนิท การทำงาบดควรแบ่งบดครั้งละไม่มาก เพื่อให้ได้งาบดที่มีรสชาติหอมอร่อยน่ารับประทาน
คุณค่าทางโภชนาการของงา
งาเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงชนิดหนึ่ง เมล็ดงามีไขมันประมาณ 35-57 เปอร์เซ็นต์ และมีโปรตีนประมาณ 17-25 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบงากับถั่วเหลืองและไข่แล้วพบว่า งามีไขมันสูงกว่าถั่วเหลืองประมาณ 3 เท่า และสูงกว่าไข่ ประมาณ 4-6 เท่า มีโปรตีนสูงกว่าไข่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ต่ำกว่าถั่วเหลืองประมาณ 2 เท่า นอกจากนี้ โปรตีนในงายังแตกต่างจากพืชตระกูลถั่วและพืชให้น้ำมันอื่น ๆ เพราะมีกรดอะมิโนที่จำเป็น ซึ่งพืชดังกล่าวขาดแคลน เช่น เมธไธโอนินและซีสติน แต่งามีไลซีนต่ำ ดังนั้น อาจใช้งาเสริมอาหารถั่ว ธัญพืช และอาหารแป้งอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
http://www.monmai.com/ via ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ

กะหล่ำดอก

กะหล่ำดอก สรรพคุณมากมายห่างไกลโรค

ชื่อวิทยาศาสตร์ Brassica oleracea L. var. botrytis L. Cruciferae

ชื่อสามัญ Cauliflower

วงศ์ BRASSICACEAE

ลักษณะ :

เป็นผักประเภทอายุปีเดียวและอายุสองปี แต่ส่วนใหญ่ปลูกเป็นผักอายุปีเดียว ลำต้นสูงประมาณ 40-55 เซนติเมตร ขนาดดอกหนักประมาณ 0.5-1.20 กิโลกรัม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 60-90 วัน

กะหล่ำดอก เป็นพืชผักที่ใช้บริโภคส่วนของดอกที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสีขาวถึงเหลืองอ่อน อัดตัว กันแน่น อวบและกรอบ ซึ่งนิยมเรียกส่วนดังกล่าวว่า ดอกกะหล่ำ ถ้าหากปล่อยให้เจริญเติบโตพัฒนาต่อไป ก็จะเป็นช่อดอก และ ติดเมล็ดได้

คุณค่าทางอาหาร

มีวิตามินซีสูงมาก ดอกกะหล่ำ 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 96 มิลลิกรัม สูงกว่าที่ร่างกายเราต้องการใน 1 วัน คือ 60 มิลลิกรัม เสียอีก นอกจากจะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันแล้ว ยังช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์มและทำให้สเปิร์มแข็งแรงด้วย ในดอกกะหล่ำมีสารซัลโฟราเฟนที่เพิ่มปริมาณแอนไซม์ที่เป็นหลักในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งที่เต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ดี

ประกอบด้วยสารเอนไซม์ต้านมะเร็งชื่อ ซัลโฟราเฟน (sulforaphane)
สารฟีโนลิกส์ (phenolics) สารไอโซไทโอไซยาเนท (isothiocyanates) สารผลึกอินโดล
(indoles) อินโดล ทรี คาร์บินัล (indole-3-carbinal) ไดไทอัลไทโอน (dithiolthiones) กลูโค
ไซโนเลท (glucosinolates) กรดโฟลิก และคูมารีน ( folic acid & coumarines) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกะหล่ำดิบจะมีวิตามินซีสูง มีธาตุโพแทสเซียม กำมะถัน และเส้นใยมาก

ประโยชน์ :

ใช้กินเป็นผัก มีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็ง (carcinogen) ออกจากเซล กลไกที่เกิดขึ้น คือ สารซัลโฟราเฟน ทำให้มีการผลิตเอมไซม์-phase II มากขึ้น ซึ่งสามารถไปลดการผลิตเอ็มไซม์-phase I ที่เป็นอันตราย เพราะเอ็มไซม์ชนิดแรกนี้สามารถไป ทำอันตรายต่อสารพันธุกรรมภายในเซล พืชในวงศ์นี้รวมไปถึง บร็อคโคลี คะน้า และกะหล่ำต่างๆ สารประกอบที่พบแล้วในพืชวงศ์นี้สามารถต้านอนุมูลอิสสระได้ดี มีสารโพแตสเซี่ยมสูง ซึ่งช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิต มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง สารซัลโฟราเฟน ช่วยเพิ่มปริมาณเอ็มไซม์ที่เป็นหลักในการต่อสู้กับเซลมะเร็งได้ดีมาก ควรกินเป็นประจำ จะสามารถช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ดี กรดโฟลิค ช่วยป้องกันมะเร็ง ลำไส้และมะเร็งเต้านม สารอินโดลส์ คาดว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งบางชนิดได้ดี สารอินโดล-3 คารฝืบินอล ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม คั้นเอาแต่น้ำอมช่วยรักษาแผลในปาก กลั้วคอแก้คออักเสบ น้ำผักสดช่วยรักษาแผลเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง หอบหืด ไม่ควรปรุงให้สุกเกินไป เพราะ ความร้อนจะไปทำลายคุณสมบัติทางยาได้

สรรพคุณ

ในกะหล่ำดอกจะมีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า คาร์ซิโนเจน (carcinogens) ออกจากเซลล์ กลไกที่เกิดขึ้นคือ สารซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ทำให้มีการผลิตเอนไซม์เฟสทูมากขึ้น (phase II) ซึ่งสามารถไปลดการผลิตเอนไซม์เฟสวัน (phase I) ที่เป็นอันตรายได้ เพราะเอนไซม์เฟสทู สามารถไปทำอันตรายสารพันธุกรรมในเซลล์ (cellular DNA) และจากรายงานผลการวิจัยที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อต้นปีที่แล้วพบว่า พืชในวงศ์ ครูซิเฟอร์อี้ (Cruciferae) ซึ่งรวมถึง บร็อคโคลี คะน้า ผักกาดขาว และกะหล่ำต่างๆ มีสารประกอบที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดี ดังนั้นจึงช่วยต้านมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานว่า ผักดังกล่าวช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดี และจากการที่มีโพแทสเซียมสูงนี้เอง จึงช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและความดันโลหิตได้อีกด้วย

มีรายงานวิธีการใช้กะหล่ำดอก โดยให้นำกะหล่ำดอกไปคั้นน้ำ แล้วนำน้ำกะหล่ำดอกที่คั้นได้ไปใช้ อมกลั้วปาก พบว่าสามารถรักษาแผลในปาก แก้เจ็บคอ นอกจากนี้ยังพบว่าในน้ำ
กะหล่ำดอกสดช่วยรักษา แผลเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง ปวดศรีษะชนิดเรื้อรัง หอบหืด หลอดลมอักเสบ โดยแนะนำให้ดื่มประมาณ 1- 2 ออนซ์ทุกวัน และหากรับประทานกะหล่ำดอกสดมีคำแนะนำว่า ในการรับประทานกะหล่ำดอกอย่าปรุงสุกเกินไปนะคะ เพราะการปรุงสุกเกินไปจะทำลายคุณสมบัติทางยาของกะหล่ำดอก

http://the-than.com/samonpai/P/18.html via 
ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มะกรูด

มะกรูดให้อะไรบ้างนอกจากทำอาหาร

วันนี้เราจะมาคุยเรื่องมะกรูดที่ควรมีไว้ติดบ้าน เพราะถ้านึกหายาอะไรไม่ออกยามฉุกเฉินมะกรูดช่วยได้ มาดูสรรพคุณแบบโบราณ

ผล รสเปรี้ยว สรรพคุณ ใช้ทำยาดอง ฟอกโลหิต ถอนพิษผิดสำแดง
ผิวลูก รสปร่าหอมติดมัน สรรพคุณ ขับลมในลำไส้ ขับระดู แก้ลมทำให้วิงเวียน

น้ำในลูก รสเปรี้ยว สรรพคุณ แก้เลือดออกตามไรฟัน
ราก รสปร่า สรรพคุณ กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน แก้เสมหะเป็นโทษ

ใบ นั้นมีน้ำมันหอมระเหยมากจึงนิยมใส่แกงต่างๆ เพื่อปรุงอาหาร ขับลมในลำไส้ ลดความดันโลหิต ผล ฟอกเลือด ขับระดู ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด แก้เสมหะ แก้ลักปิดลักเปิด ช่วยป้องกันรังแค ทำให้ผมดกดำ แก้ไอ แก้ปวดกระเพาะ แก้สะอึก ทำให้เจริญอาหาร

การนำมาใช้
ผู้ที่เป็น ความดันโลหิตสูง

-- นำใบมะกรูด 7-10 ใบนำมาต้มน้ำ 3 แก้วเดือด 15 นาทีดื่มเช้า-เย็น

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา :
ต้านบิด ข้อควรระวังในหญิงตั้งครรภ์คือทำให้แท้ง ลดความดันโลหิต

ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อเหา

ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ขับลมในลำไส้ แก้แน่น แก้เสมหะ

-- ฝานผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ช้อนแกง เติมการบูร หรือ พิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ ดื่มแต่น้ำรับประทาน 1 ถึง 2 ครั้ง แต่ถ้ายังไม่ค่อยทุเลา จะรับประทานติดต่อกัน 2-3 สะรก็ได้

ใช้เป็นยาขับเสมหะ

-- น้ำมะกรูด ผสมกับเกลือ เติมเปลือกมะกรูดลงไปเล็กน้อย อย่าให้ถึงกับขม จะนั้น จิบทุกครั้งเมื่อมีเสมหะ หรือ ไอ ประมาณสองวัน อาการไอ และ มีเสมหะ จะหายไป

แก้ปวดเข่า

-- เอาผลมะกรูดแบบสด ถ้าผลใหญ่ 8 ผล ผลเล็ก 10 ผลฝานบางๆทั้งผลไปตากแห้ง 2 – 3 วัน หลังจากนั้นเอาไปดองกับเหล้าขาว 28 ดีกรี หรือ 40 ดีกรีก็ได้ จำนวน 1 ขวด ตั้งทิ้งไว้ 7 วัน เอาน้ำที่ดอง ตักครั้งละพอใช้ ทาบริเวณหัวเข่าที่มีอาการปวด วันละ 2 – 3 ครั้ง หรือเวลาเกิดอาการปวด ทาอย่างสม่ำเสมอ อาการปวดจะดีขึ้น

ด้านบำรุงเส้นผม

-- กำจัดรังแค ผลมะกรูด 1 ผลนำมาเผาไฟให้ร้อน นำมาคั้นเอาน้ำใช้ขยี้บนศรีษะ ให้ทั่วทิ้งไว้สัก 2-3 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอา

-- ยาบำรุงผมดก นำผลมะกรูด 1 ผลนำมาบีบเอาน้ำผสมกับหัวกะทิ กวนให้เข้ากันใช้ขยี้ผมให้ทั่วศรีษะหมักไว้สักครู่หนึ่ง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดให้ปรุงยานี้รักษาวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันประมาณ 7 วันจะทำให้ผมดกดำขึ้น

ด้านความงาม(สวยด้วยมะกรูด)
สูตรลดความหยาบกร้าน ข้อศอก มือ เท้า
-- มะกรูด 2 ผล เกลือป่น 2 ช้อนชา

วิธีทำ

ผ่ามะกรูด 1 ลูกเป็น 2 ซีก แกะเอาเมล็ดออกโรยเกลือป่น นำมะกรูดโรยเกลือถูบริเวณผิวหยาบกร้านเช่นข้อศอก มือ เท้าล้างออกด้วยน้ำเสร็จแล้วทาครีมบำรุงผิวทำสัปดาห์ละครั้ง ทำให้เซลล์ผิวหนังที่ตายหลุดลอกออกไปและจะกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาผิวบริเวณดังกล่าวจะขาวเนียนนุ่มขึ้น

สูตรโลชั่นบำรุงหนังศรีษะและรากผม

-- มะกรูดเผา 2 ลูก น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 1 ฟอง บีบขยี้มะกรูดเผา นำแต่น้ำมาปั่นกับส่วนผสมตัวอื่นๆจนเป็นเนื้อเดียวกัน

นำโลชั่นมะกรูดมาหมักผม นวดคลึงเบาๆแล้วทิ้งไว้ประมาณ20-30 นาทีสระออกด้วยแชมพูทำสัปดาห์ละครั้ง เส้นผมจะดกดำนุ่มสวย
สูตรครีมขัดผิว ทุกสภาพผิว

-- น้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ถ้วย ข้าวโอ๊ต 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน นำครีมมะกรูดทาทั่วเรือนร่างทิ้งไว้ 20 นาทีใช้ผ้าขนหนูชุปน้ำบิดหมาดๆเช็ดถูเบาๆเน้นจุดหยาบกระด้างล้างออกด้วยน้ำ เย็น ซับตัวให้แห้งทาครีมบำรุงผิว ทำสัปดาห์ละครั้งผิวกายจะเนียนละเอียดผิวกระจ่าง

สรรพคุณของถั่วเขียว 36 ข้อ

นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่าถั่วเขียวดีขนาดนี้.
พร้อมกับเมนูขนมหวานเพื่อสุขภาพ
"ถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
สอดคล้องกันเศรษฐกิจพอเพียง
ของดี ราคาถูก !!!

สรรพคุณของถั่วเขียว 36 ข้อ

1.โพแทสเซียมช่วยเสริมสร้าง
กล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแรง

2.ถั่วเขียวมีสารต้านเอนไซม
โปรตีเอสในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสาร
ที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านมะเร็ง

3.ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัด

4.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วย
ผลิตโปรตีนและการหดตัว ของ
กล้ามเนื้อ

5.ช่วยลดความดันโลหิต

6.ช่วยทำให้เจริญอาหาร

7.ช่วยลดระดับไขมันและคอเลสเตอรอลช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักได้ เพราะถั่วเขียวมีส่วนประกอบของไขมันที่ต่ำมากไม่มีคอเลสเตอรอลและยัง
อุดมไปด้วยโปรตีนกับเส้นใยอาหาร

8.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

9.ถั่วเขียวมีฤทธิ์เย็น ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของหัวใจและม้าม

10.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยธาตุเหล็กซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย

11.ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวานได้

12.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรงและยังช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

13.ช่วยขับร้อนแก้อาการร้อนในและช่วยแก้พิษในฤดูร้อน

14.ถั่วเขียวมีประโยชน์ต่อลำคอและผิวหนัง และยังช่วยแก้อาการกระหายน้ำได้อีกด้วย

15.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มกับเกลือ ใช้อมเพื่อรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้

16.ช่วยถอนพิษในร่างกาย

17.ช่วยกระตุ้นประสาท ถั่วเขียวเป็นแหล่งสำคัญของธาตุ
โบรอน(Boron)ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการส่งกระแสประสาทของสมอง ทำให้ ช่วยสมองทำงานได้ฉับไวมากขึ้น และยังอุดมไปด้วยฟอสฟอสรัส ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง

18.ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ตาสว่าง และรักษาตาอักเสบ (เปลือกสีเขียว) ช่วยแก้อาการตาพร่า ตาอักเสบ ด้วยการรับประทานถั่วเขียวต้มครั้งละ 15-20 กรัมเป็นประจำ

19.ช่วยรักษาคางทูมที่เป็นใหม่ๆ ด้วยการต้มถั่วเขียว70กรัม จนใกล้ สุกแล้วใส่แกนกะหล่ำปลีลงไป/หัว
ต้มอีก15นาที กินเฉพาะน้ำ
วันละ2ครั้ง

20.ช่วยแก้อาการอาเจียนจากการดื่มเหล้า ด้วยการดื่มน้ำถั่วเขียวพอประมาณ

21.ช่วยขับของเหลวในร่างกาย

22.ในถั่วเขียวอุดมไปด้วยเส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ดี จึงช่วยในขบวนการทำความสะอาดของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ

23.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี2 ที่ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกได้

24.ถั่วเขียวมีเส้นใยอาหารสูงจึงช่วยในการขับถ่ายป้องกันอาการท้องผูกช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และยังส่งถผลดีต่อระบบลำไส้โดยรวมอีกด้วย

25.เมล็ดถั่วเขียวนำมาต้มแล้วกินใช้เป็นยาขับปัสสาวะ

26.ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ

27.ช่วยบำรุงตับ

28.ช่วยแก้อาการไตอักเสบ

29.ช่วยแก้ผดผื่นคัน

30.ช่วยลดบวม

31.ช่วยรักษาโรคข้อต่างๆ แก้ขัดข้อ

32.ช่วยรักษาฝี ด้วยการใช้ถั่วเขียวดิบหรือต้มสุก นำมาใช้ตำแล้วพอกเป็นยารักษ

ภายนอก ช่วยในการบ่มหนองให้ ฝีสุกและยังใช้รักษาอาการอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น แก้ท้องร่วง การคลอดบุตรยาก และโรคท้องมาน

33.นำมาใช้ตำพอกแผล

34.ช่วยแก้พิษจากพืช พิษจากสารหนู และพิษอื่นๆ

35.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยวิตามินบี1 ที่ช่วยในการป้องกันโรคเหน็บชาได้เป็นอย่างดี

36.ถั่วเขียวอุดมไปด้วยโฟเลทสูง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้.....

เมนูขนมหวานเพื่อสุขภาพ

"ถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
ส่วนผสม
ถัวเขียว 1/2 กิโลกรัม
นํ้าตาลทราย 1/2 กิโลกรัม
นํ้าดอกไม้สด 10 ถ้วย

วิธีทำ

ถั่วเขียวเลือกสิ่งสกปรกออกทิ้ง ล้างนํ้าให้สะอาด ใส่ถั่วเขียว ยกขึ้นตั้งไฟโดยใช้ไฟกลาง พอเริ่ม

เดือดคอยคน ปล่อยให้ถั่วสุกและบานออกเล็กน้อยพอนิ่ม
เติมนํ้าตาลทรายลงตามความชอบ คนให้นํ้าตาลทรายละลาย
ตั้งไฟต่อรอให้เดือด ชิมรสตามชอบ ถั่วเขียวควรจะปล่อยให้บานนุ่ม
สุก จึงปิดไฟยกลง

โบราณว่าไว้ ถั่วเขียวต้ม’นาตาลนั้นมีฤทธิ้เย็น กินแก้ร้อนในได้
สำหรับหน้าร้อนคนชอบกินเย็นๆ ใส่นํ้าแข็งด้วยก็ได้เหมือนกัน