วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตำราอาหาร: ตำข้าวโพดใส่แครอต

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์


ตำข้าวโพดใส่แครอต


ตอนนี้เริ่มเข้าช่วงเทศกาลมีวันหยุดยาวหลายวัน ซึ่งใครมีโอกาสก็จะต้องหนีไปเที่ยวกันแน่นอน ส่วนวันทำงานก็มีงานเลี้ยงกันเกือบทุกวัน ในเทศกาลแบบนี้ทุกคนมีความสุข แต่ที่เค็กไม่ชอบเลยคือน้ำหนักส่วนเกินที่โผล่ขึ้นมาด้วยในช่วงไปเที่ยวนี่ แหละค่ะ

เพื่อเตรียมรับมือกับช่วงปีใหม่อีกระลอก เราก็เลยต้องเพลา ๆ อาหารเย็นกันสักหน่อยค่ะ จะอดไปเลยก็กระไรอยู่...อาจจะทำให้เราต้องออก อาละวาดหาของกินตอนดึก ๆ (ยิ่งแย่กว่าเดิมไปอีกแน้ !) ก็เลยขอเป็นกึ่งมังสวิรัติที่น้ำมันน้อยและแป้งน้อยด้วยแล้วกันนะคะ "ตำข้าวโพดใส่แครอต" ซึ่งพอมีเจ้าข้าวโพดนี้เป็นคาร์โบไฮเดรตอยู่ก็จะทำให้ไม่หิวเกินไปค่ะ

ข้าว โพดที่จะนำมาตำ เค็กใช้ข้าวโพดสดที่ได้มาตอนไปปากช่อง เพราะข้าวโพดยิ่งสดใหม่เท่าไรจะยิ่งทำให้ตำข้าวโพดกรอบหวานอร่อยค่ะ ยิ่งข้าวโพดอยู่ในตู้เย็นนานเท่าไร ความอร่อยก็จะลดน้อยลงเท่านั้นค่ะ ดึงเปลือกและหนวดข้าวโพดออกให้หมด และฝานเมล็ดเก็บไว้ ใช้ 1 ฝักต่อ 1 คนทานนะคะ

สำหรับแครอตนั้น เค็กเลือกใช้แบบเกษตรอินทรีย์ปลูกในเมืองไทย ซึ่งจะหัวเล็กใช้ทั้งหัวเลยได้ค่ะ แต่แครอต นอกที่บางครั้งหัวใหญ่จนเกือบดูน่ากลัว...ใช้แค่ครึ่งหัวก็พอค่ะ ล้างน้ำและปอกเปลือกออกให้หมด จึงใช้ที่ขูดมะละกอขูดออกเป็น เส้น ๆ แล้วแช่น้ำแข็งไว้ให้เย็นเจี๊ยบจะได้กรอบอร่อยค่ะ

เมื่อพร้อมทาน มื้อเย็นก็ตำกระเทียมไทย 4 กลีบ กับพริกแดง 1 เม็ดพอแหลก จึงใส่น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา บุบพอละเอียดผสมกับน้ำปลา 2 ช้อนชา บีบมะนาวใส่ 2 เสี้ยว ถั่วฝักยาวหั่น 6-8 ท่อน และมะเขือเทศหั่น 1 ลูก บุบพอเข้ากัน ใส่ข้าวโพดและแครอตที่ขูดไว้ผสมให้เข้ากัน ชิมรสดูอีกทีตามชอบ ตักใส่จานโรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ รับประทานแกล้มกับผักสดชามโต ๆ ค่ะ

ตู้กับข้าว

น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา กระเทียมไทย มะนาว

อาหารประจำบ้าน

ข้าวโพดสด แครอต พริกแดง มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว

สีสัน

เม็ดมะม่วงหิมพานต์


ที่มา: คอลัมน์ Dining in โดย savoury cake
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ update: วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:53:37 น.

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สูตรอาหาร: แกงกะหรี่กระเจี๊ยบ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์



แกงกะหรี่กระเจี๊ยบ

บทความโดย: savoury cake คอลัมน์ Dining in
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:40:34 น.)


วันก่อนไปทานอาหารแขกกับพ่อแถวบางรักก็เลยแวะเข้าไปเที่ยวร้านขายเครื่องเทศ เจ้าประจำที่อยู่แถวนั้นด้วย ร้านนี้บ้านเราซื้อกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่เพราะอยู่ข้างโรงเรียนพ่อ เค็กชอบไปเที่ยวร้านนี้เพราะสนุกเหมือนได้ไปเที่ยวเมืองนอก มีทั้งเครื่องเทศใหม่ ๆ สำหรับใส่อาหารแขก เนยกี แป้งและถั่วต่าง ๆ เยอะแยะไปหมด กลับบ้านมาได้ถั่วมาถุงใหญ่พร้อมทั้งเครื่องเทศอีกหลายถุง

พอดีกับเค็กได้ฝักกระเจี๊ยบอ่อนมาก็เลยตกลงใจได้ทำ "แกงกะหรี่กระเจี๊ยบอ่อน" ค่ะ ถ้าไม่ชอบกระเจี๊ยบที่ลื่น ๆ เป็นเมือกมากนั้นเค็กมีเคล็ดลับง่าย ๆ มาฝากค่ะ คือต้องให้กระเจี๊ยบนั้นแห้งสนิทตอนโดนความร้อนค่ะ "น้ำ" เปียก ๆ ที่เกาะติดมากับกระเจี๊ยบตอนล้างเสร็จนี่แหละตัวปัญหาเลยค่ะ เมื่อล้างฝักกระเจี๊ยบเสร็จแล้วให้เช็ดฝักจนแห้งดี และถ้ามีเวลาก็ใส่ตะกร้าตากลมไว้เลยค่ะ

ใส่น้ำมัน 1 ช้อนชาลงในกระทะ ใส่กระเจี๊ยบที่ตากไว้จนแห้งสนิทผัดในกระทะพร้อมทั้งใส่เกลือทะเลนิดหน่อย

พอกระเจี๊ยบสุกนุ่มประมาณ 10 นาทีจึงตักขึ้นพักไว้ ในกระทะใบเดิมใส่เนยสด 1 ช้อนชา (หรือถ้ามีเนยกีแขกยิ่งดีค่ะ) พอละลายก็ผัดหอมใหญ่สับ 1/2 หัวจนนุ่มดีจึงใส่ผงกะหรี่ (มาซาร่า) 1 ช้อนชา พริกป่น 1/4 ช้อนชา ผัดจนหอมจึงใส่มะเขือเทศสับ 1 ลูกผัดต่อจนมะเขือเทศนิ่มและเริ่มแห้งจึงใส่กระเจี๊ยบที่ผัดไว้ลงไปปรุงรส ด้วยเกลือทะเลและน้ำตาลนิดหนึ่ง เคี่ยวต่ออีก 5-10 นาทีจนเข้าเนื้อดีจึงตักเสิร์ฟโรยด้วยผักชีหั่นหยาบ ๆ ค่ะ

ตู้กับข้าว

พริกป่น เกลือทะเล น้ำมันพืช น้ำตาล

อาหารประจำบ้าน

ลูกกระเจี๊ยบสด หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศสด เนยสด

สีสัน

ผงกะหรี่ (มาซาร่า) ผักชีสับ

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

"คุณติ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน"


ชุด เขียวหวานไก่ กับ เส้นเซี่ยงไฮ้

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
สารพัด เนื้อสัตว์ เขียวหวาน


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

น้ำแกงเขียวหวานสูตรชาววัง หอมกรุ่น


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
ชุด เขียวหวานทะเล กับบะหมี่หยก


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

น้ำสมุนไพรหลากหลาย เติมได้ไม่อั้น


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

เค้กมะพร้าวอ่อน ขนมหวานขึ้นชื่อ ของ นครปฐม

ชอบ "แกง" อะไรมากที่สุด ?
"แกงเขียวหวาน" คงอยู่ในอันดับต้นๆ ที่หลายคนนึกถึง ยิ่งถ้าได้ข้าวสวยร้อนๆ หรือขนมจีนเส้นนุ่มๆ มาทานคู่กันแล้วล่ะก็อิ่มหนำ โจ้ได้ไม่จำกัดโดยไม่รู้เบื่อตลอดวันแน่ๆ


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
แต่สำหรับบรรดาขาตะลอนชอบชิม ลิ้มอาหารแปลกใหม่ ไม่ซ้ำเมนู ขอท้าไปลอง "คุณติ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน" ซึ่งอยู่ริมถนนสนามจันทร์ถัดจากองค์พระปฐมเจดีย์ มุ่งหน้าม.ศิลปากร สนามจันทร์ โดยเขาหยิบ "สารพัดเส้นก๋วยเตี๋ยว" มากลั้วกับซุปแกงเขียวหวานที่ปรับรสชาติให้พอเหมาะพอดีกัน สมดังสโลแกนประจำร้าน "อร่อยครบเครื่อง เรื่องเขียวหวาน"


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ทรงวุฒิ ไวยลิยา" หรือ คุณติ๊ก เจ้าของร้าน เล่าว่า เป็นคนชอบทานแกงเขียวหวานมาตั้งแต่เด็กๆ จนวันหนึ่งรู้สึกไม่อยากทานคู่กับข้าวแล้ว เลยลองสั่งเส้นก๋วยเตี๋ยวมาแทน และก็เห็นว่า ก๋วยเตี๋ยว กับแกงเขียวหวาน เข้ากันได้ จึงเกิดเป็นไอเดีย "ก๋วยเตี๋ยว...เขียวหวาน" ที่ต้องกล้าพูดว่า "แตกต่าง" เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวของโลก เหมือนเส้นผมบังภูเขา คอนเซปต์นี้ง่ายๆ แต่ยังไม่มีใครกล้าทำ



จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

กะทิหวานหอม เคี่ยวจนแทบไม่มีไขมัน (สำหรับคนกลัวอ้วน) ผสมผสานสมุนไพรไทยและเครื่องเทศมากกว่า 15 ชนิด คือ หัวใจหลักที่ทำให้ น้ำแกงเขียวหวานของคุณติ๊ก กลมกล่อม ถูกปากผู้ทาน ซึ่งเป็นสูตรเก่าโบราณชาววังที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยคุณยายทวด มาคุณยาย คุณแม่ กระทั่งถึงคุณติ๊กทายาทรุ่นที่ 4


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

"น้ำแกงเขียวหวาน ตอนนี้มีทั้งหมด 10 อย่าง เช่น เขียวหวานไก่ เนื้อ หมู ลูกชิ้นปลา ซึ่งเป็นเมนูที่เราเห็นทั่วๆ ไป ส่วนเมนูใหม่ที่เราคิดขึ้นมาจะเป็น เมนูเขียวหวานทูน่า เขียวหวานกุ้ง เขียวหวานปูอัด เขียวหวานปลาหมึกยัดไส้ หรือจะใส่รวมกันทั้งหมด เป็นเขียวหวานทะเล ที่ ร้านทำมาเพื่อเอาใจน้องๆ วัยรุ่น รสชาติแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันไป แถมยังขายดีเสียด้วย น้ำซุปที่ใส่ให้ลูกค้าไม่ต้องปรุงเพิ่ม ความเผ็ดอยู่ในระดับกลางๆ ไม่เผ็ดมาก แต่ใครทานเผ็ดมากเราจะมีพริกคั่ว พริกสดตำให้" คุณติ๊กไล่เรียงเมนู สารพัด "เขียวหวาน" ให้ฟัง ทั้งยังบอกว่า ทั้งหมดสามารถทานคู่กับ "ตระกูลเส้น" ได้ทั้งนั้น ทั้ง เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ บะหมี่หยก พาสต้า มาม่า เกี๊ยมอี๊ วุ้นเส้น เซียงไฮ้ สปาเก็ตตี้ มะกะโรนี เป็นต้น


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

แต่ถ้าบางคนไม่คุ้นกับเส้นก๋วยเตี๋ยว ทางร้านก็มีเมนูเซ็ทข้าวไข่เจียวกรอบ ใส่พริกหอม กับ ซุปเขียวหวาน ให้ได้ทานกันด้วยนะ


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

ธีม "สีเขียว"ของร้าน "คุณติ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน" เป็นเอกลักษณ์ที่จดจำได้ง่าย แม้ จะมีที่นั่ง แค่ 35 ที่นั่ง ภายใต้พื้นที่ที่ไม่ใหญ่โต แต่การตกแต่งถือว่าน่ารักไม่หยอก ทุกอย่างล้วนเป็นสีเขียวทั้งหมด เริ่มตั้งแต่นอกร้านที่ตระหง่านด้วยร่มสีเขียวคันใหญ่ มีโต๊ะ เก้าอี้ไม้เล็กๆ ตั้งอยู่ 3-4 ชุด สำหรับคนที่ชอบรรยากาศแบบ open air ทานไป ชมวิวไป ภายในร้านมีกระจกที่หุ้มด้วยกรอบไม้ทำเป็นหน้าต่าง รับกับแสงไฟสะท้อนผนังให้ความรู้สึกเย็นสบาย ภาชนะเครื่องใช้สำหรับบรรจุอาหารก็ล้วนดูง่ายๆ แต่ลงตัว คลอเคล้าเสียงเพลงบรรเลงนุ่มๆ ที่เมื่อเข้าไปนั่งทานแล้วแทบไม่อยากลุกไปไหน


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

แม้ร้าน "คุณติ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน" จะเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ต้องขอบอกว่า ลูกค้าแน่นเอี้ยด เต็มร้านทุกวันมิได้ขาด ด้วยรสชาติอาหารที่อร่อยถูกปากแล้ว ราคายังถือว่าเกินคุ้มเสียอีก เพราะนอกจากจะมีเมนูเส้นก๋วยเตี๋ยว ให้เลือก อะแด๊ปกับน้ำแกงเขียวหวานสารพัด เมนูเซ็ท ทั้งยังมีเครื่องเคียงเป็นปลากรอบและไข่เค็มแถมให้อีกด้วย ขณะที่ถ้าใครชอบทานผัก เดินไปตักจากตะกร้าที่วางไว้ได้ไม่จำกัด เช่นเดียวกับน้ำสมุนไพรต่างๆ ที่ทางร้านใส่ขวดโหลมาวางไว้ ใครชอบทานน้ำอะไร ก็จ่ายเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เติมฟรีไม่อั้นตลอดวัน ถือเป็นลุกเล่นอย่างหนึ่งที่ทางร้านอยากให้ลูกค้าสนุกและมีส่วนร่วมไปด้วย กัน ด้านของหวานก็มี เค้กมะพร้าว เงาะลอยแก้ว เฉาก๊วย


"สำหรับก๋วยเตี๋ยวแล้วเราดูแล 35 คนนี้ให้ดีเสียก่อน ถ้าลูกค้าอยากทานจริงๆ เขารอได้ เราบริการด้วยใจ ใส่ใจอย่างทั่วถึง ถ้าซื้อกลับบ้านจะได้ทุกอย่างพิเศษหมดเลย น้ำซุป ผัก สามารถเอาไปทานกับข้าวได้อีก มีขอเมนูรวมแบบพิเศษ ก็จัดให้ คิดราคาพิเศษแต่ไม่แพง เริ่มต้น 39 บาทจนถึง 59 บาท (39-49-59) เป็นราคาที่คนกรุงเทพฯ คิดว่าถูก บ้านเราก็สามารถทานได้ เราให้คุณค่ากับลูกค้าระดับเดียวกัน บรรยากาศเหมือนกับเข้าไปนั่งทานในกรุงเทพฯ แต่การจ่ายเงินจ่ายแบบชาวบ้านๆ ไม่แพงมาก ดังสโลแกน " เจ้าของร้านวัย 28 กล่าวปิดท้าย


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
แผนที่ร้าน "คุณติ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน"

แปลก อร่อย ได้สนุก แบบนี้ หากใครแวะไปนครปฐมไม่ลองไปรับประทาน "คุณติ๊ก ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน" ถือว่าพลาดอย่างแรง โดยเขาเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 11.00 – 20.00 น. แต่ขอเตือนถ้ามาถึงประมาณ 15.00 – 16.00 น. (บางวัน) ของอร่อยอาจจะหมดก่อน ซึ่งทางร้านก็ใจดีอาจต้องทำอีกหนึ่งรอบ เพื่อให้ลูกค้ารอบดึกได้ทานด้วย หรือจะติดต่อไปจับจองไว้ก่อนที่ คุณติ๊ก โทร 084-9146444,085-3300688 หรือ คลิกไปชมเมนูอาหารเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/greencurry2010


ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์
บทความชื่อ: "ก๋วยเตี๋ยว เขียวหวาน" กลมกล่อมน้ำซุปสมุนไพรตำรับชาววัง อร่อย(โฮก)จนอิ่มแปล้ โดย...ตามลม
(update: วันที่ 07 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:10:21 น.)

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องไม่รู้เกี่ยวกับปลา Salmon



เรื่องไม่รู้เกี่ยวกับปลา Salmon

บทความโดย: วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์ (update: วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 19:00:00 น.)


คนไทยรู้จักปลา Salmon (อ่านว่า แซม-มอน ไม่ใช่ แซล-มอน) มากขึ้นเช่นเดียวกับชาวโลกเพราะบริโภคมากขึ้นเป็นลำดับทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างไรก็ดี มีหลายสิ่งเกี่ยวกับปลาพันธุ์นี้ที่เรารู้จักกันไม่มากนัก

Salmon เป็นชื่อสามัญใช้เรียกปลาหลายสปีชี่ซึ่งอยู่ในตระกูล Salmonidae บางสปีชี่ในตระกูลนี้เรียกว่าปลา Trout สิ่งที่แตกต่างระหว่าง Salmon และ Trout ก็คือ Salmon อพยพเคลื่อนย้ายแหล่งหากินในขณะที่ Trout อยู่ในถิ่นของมัน

Salmon อาศัยอยู่ในชายฝั่งทะเลทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและแอตแลนติก และส่วนหนึ่งอยู่ในทะเลสาบหลายแห่งของอเมริกาเหนือ ลักษณะพิเศษของ Salmon ก็คือจะเกิดในน้ำจืด อพยพไปยังมหาสมุทร (น้ำเค็ม) และกลับมายังถิ่นเก่าซึ่งเป็นน้ำจืดเพื่อผลิตลูกหลานและก็ตาย อย่างไรก็ดีมี Salmon หลายพันธุ์ที่อยู่อาศัยในน้ำจืดตลอดชีวิต


มนุษย์เชื่อกันมา นานว่า Salmon จะว่ายน้ำกลับมายังจุดที่มันเกิดเพื่อผสมพันธุ์ ไม่ว่าจะจากไปหากินที่ใดก็ตาม งานศึกษาการย้ายถิ่นของปลา Salmon พบว่าความเชื่อนี้เป็นความจริงอย่างน่าอัศจรรย์ Salmon กลับมาที่เก่าอย่างถูกต้องโดยอาศัยความจำเรื่องกลิ่นของถิ่นในตอนที่มันเกิด (นกพิราบก็อัศจรรย์เช่นกันสามารถบินกลับมากรงของมันเองได้ถึงแม้จะนำไปปล่อย ในที่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตรก็ตาม)

ปัจจุบันมนุษย์ ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงปลา Salmon จนมีผลิตผลออกมาสู่ตลาดในปริมาณกว่า 2 ล้านตันต่อปี รวมกันแล้วปีหนึ่งทั้งโลกมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

การเลี้ยงปลา Salmon ในฟาร์มในช่วงเวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 8.8 ต่อปี จนปัจจุบันมีผลผลิตเป็นหนึ่งในสามของผลผลิตอาหารจากทะเลของทั้งโลก

การเลี้ยงปลา Salmon ของโลกเริ่มจาก 500 ตัน ในปี 1970 จนเพิ่มเป็น 1.3 ล้านตัน ในปี 2005 และคาดว่าถึงกว่า 2 ล้านตัน ในปัจจุบัน ในปี 1998 ผลผลิตของ Salmon จากฟาร์มแซงหน้าผลผลิต Salmon ที่จับจากทะเลเป็นครั้งแรก

ยักษ์ใหญ่ของวงการเลี้ยงปลา Salmon คือ นอร์เวย์ และชิลี รองมาไกลๆ คือ อังกฤษ และแคนาดา (นอร์เวย์และชิลีรวมกันผลิตกว่าร้อยละ 75 อังกฤษและแคนาดารวมกันมีสัดส่วนร้อยละ 15 และอื่นๆ ร้อยละ 10)

นอร์เวย์ นั้นเป็นผู้ริเริ่มการเลี้ยงปลา Salmonในปี ค.ศ.1984 เพื่อสร้างผลผลิตเพิ่มเติมจากปลาธรรมชาติที่จับจากทั้งสองฝั่งมหาสมุทร ชิลีเพิ่งเริ่มต้นเลี้ยงเมื่อต้นทศวรรษ 1990 และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วคู่กับนอร์เวย์ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมาตลอดและ ปัจจุบันกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก

ชิลีเป็นประเทศที่ผล ผลิตของปลาเลี้ยง Salmon ขยายตัวรวดเร็วที่สุดโดยไม่มีการจับปลา Salmon จากมหาสมุทรเลยเนื่องจากไม่มีปลาในบริเวณนั้น ผลผลิตส่วนใหญ่ส่งออกไปญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และส่วนหนึ่งไปตลาดอเมริกาใต้และ EU

ม่น่าเชื่อว่าจากการ เป็นประเทศที่ไม่มีปลา Salmon สักตัวในปี 1990 แต่ภายในเวลา 20 ปี ชิลีสามารถกลายเป็นผู้ผลิตปลา Salmon เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยผลิตกว่าปีละ 7 แสนตัน

จุดแข็งของชิลีคือมีฝั่งทะเลที่ ยาวถึง 4,300 กิโลเมตร มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและมีแรงงานที่ถูก จึงทำให้เป็นประเทศในกลุ่มผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุด ชิลีมีประชากรเพียง 17 ล้านคน ในพื้นที่ 7.5 แสนตารางกิโลเมตร (ไทยมีพื้นที่ประมาณ 5 แสนตารางกิโลเมตร) ประมาณร้อยละ 53 สืบเชื้อสายโดยตรงจากชาวยุโรป และอีกร้อยละ 44 เป็น Mestizos (หรือลูกผสมคนยุโรป) ซึ่งต่างจากหลายประเทศในอเมริกาใต้ เช่น เปรู ที่มีคนพื้นเมืองอินเดียนแดงอยู่เป็นสัดส่วนที่สูงกว่า

การมีนโยบาย เศรษฐกิจที่เปิดกว้างในด้านการค้าการลงทุนมายาวนานกว่า 30 ปี ตลอดจนมีนโยบายเศรษฐกิจที่เหมาะสม ไม่มีเงินเฟ้อรุนแรง ทำให้ชิลีได้กลายเป็นประเทศหนึ่งที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นที่ กล่าวขวัญในโลก ปัจจุบันชิลีมีรายได้ที่เป็นตัวเงินต่อหัวต่อคนต่อปีสูงสุดในอเมริกาใต้

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


การเลี้ยงปลา Salmon การผลิตเหล้าไวน์ (ผู้ค้าออกอันดับ 5 ของโลก และผู้ผลิตอันดับ 8 ของโลก) การผลิตทองแดง การท่องเที่ยว ฯลฯ เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จที่ได้มาด้วยการเป็นเศรษฐกิจเปิด และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องโดยทุกรัฐบาล

การบริโภคปลา Salmon ทางอ้อม กล่าวคือนำปลา Salmon ไปผลิตน้ำมันปลา (fish oil) ซึ่งมีกรดไขมัน Omega-3 และวิตามิน D สูงเป็นพิเศษ ทำให้การผลิตปลาเลี้ยงพุ่งสูงขึ้น ถึงแม้ว่าปลาธรรมชาติจะมีกรดไขมันนี้มากกว่าก็ตามที แต่ราคาที่สูงกว่าของปลาธรรมชาติทำให้ปลาเลี้ยงกลายเป็นวัตถุดิบของการผลิต Omega-3

อย่างไรก็ดี มีความกังวลใจอยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับ Salmon เลี้ยงที่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคปลาในบางครั้งและการใส่สาร astaxanthin และ canthaxanthin เพื่อให้ปลามีเนื้อสีเหลืองสวย (คนไม่นิยมปลา Salmon เนื้อสีขาว) ตลอดจนการที่ปลาเลี้ยงอาจมีสาร Dioxins และ PCB

งานศึกษาในปี 2000 ตีพิมพ์เป็นบทความใน The Journal of The American Medical Association ชี้ว่าการบริโภคปลาเลี้ยง Salmon ซึ่งอุดมด้วย Omega-3 ให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายมนุษย์อย่างคุ้มกับความเสี่ยงจากพิษของสารเคมี เหล่านี้

ในทุกสปีชี่ของปลา Salmon ในฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิกจะตายหลังจากวางไข่ใน 2-3 วัน หรือเร็วกว่าหนึ่งอาทิตย์ ส่วนปลาในฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มีสัดส่วนเล็กน้อยของปลาที่ไม่ตายหลังจากวางไข่แล้ว และกลับมาวางไข่ได้อีกครั้ง

ถ้าอยากรู้ว่าปลา Salmon ที่จะซื้อนั้นจับมาจากมหาสมุทรจริงตามที่โฆษณาหรือไม่ ให้ดูว่าเป็นปลาที่อยู่ในสปิชี่ของฝั่งมหาสมุทรใด หากเป็นฝั่งแปซิฟิกก็พอเป็นไปได้เพราะกว่าร้อยละ 80 เป็นปลาจากการจับ หากเป็นฝั่งแอตแลนติกละก็ถูกหลอกแน่เพราะกว่าร้อยละ 99 เป็นปลาที่มาจากฟาร์ม

ใครที่จากบ้านมาแล้วไม่เคยกลับไปบ้านเลยเพื่อ เยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงหรือไม่เคยช่วยเหลือบ้านเก่าจากระยะทางไกลเลยก็ต้องคิดแล้ว

เพราะ แม้แต่ปลา Salmon ยังว่ายน้ำอย่างบากบั่นหลังจากลาจากไป 4-5 ปี กลับไปบ้านเก่าเพื่อผสมพันธุ์สืบสานลูกหลานให้ธรรมชาติ แล้วก็ตายจากไป

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นิยามอาหารเกาหลี

จาก ข่าวสดรายวัน


แรกเริ่มเดิมทีเกาหลีเป็นประเทศเกษตรกรรม เพาะปลูกข้าวเป็นอาหารหลักมาแต่โบราณ ก่อนถึงสมัยนี้ที่กลายเป็นตำรับประกอบด้วย เนื้อสัตว์และปลา พร้อมพืชผัก รวมถึงของหมักดองต่างๆ เช่น กิมจิ (ผักดอง) จอตกอล (อาหารทะเลหมักเกลือ) ดนจัง (ถั่วเหลืองหมักเหลว) ขึ้นชื่อในรสชาติและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และต่อไปนี้คือเมนูประเพณีนิยม

1.บับ (Bap) ข้าวนึ่ง และจุก (Juk) คือข้าวต้ม เป็นอาหารหลัก ส่วนใหญ่ใช้ข้าวเหนียว หรือจำพวกถั่ว เกาลัด ข้าวฟ่าง ถั่วแดง ข้าวบาเลย์ ฟักทอง ลูกสน ผักหรือธัญพืชต่างๆ ประกอบเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ถือเป็นอาหารบำรุงและเป็นอาหารเบา บ้างผสมเนื้อไก่ เห็ด และถั่วงอก

2.กุก (Guk) คือ ซุป เครื่องปรุงของซุปชนิดต่างๆ มีผัก เนื้อสัตว์ ปลา หอยเชลล์ สาหร่ายทะเล และกระดูกวัว

3.ชิเก (Jjigae) คล้ายกับกุก แต่ข้นกว่าและแห้งกว่า ที่นิยมมากที่สุดทำจากเต้าเจี้ยว รสชาติส่วนใหญ่มักจะเผ็ดร้อน

4.จิม และ ชอริม (Jjim and Jorim) ทำด้วยผักชุบซอสถั่วเหลืองแล้วนำมาเป็นส่วนผสมต้มในไฟอ่อน

5.นามุล (Namul) ทำด้วยพืชหรือผักใบเขียวนำมาต้มเพียงเล็กน้อยหรือทอดกับเกลือ ซอสถั่วเหลือง งาเค็ม น้ำมันงา กระ เทียม หัวหอม และเครื่องเทศ


6.จอตกอล (jeotgal) อาหารทะเลหมักเกลือ เป็นอาหารรสเค็มจัด ทำจากปลาหมักโดยวิธีธรรมชาติ หอยเชลล์ กุ้ง หอยนางรม ไข่ปลา พุงปลา และเครื่องปรุงอื่นๆ 7.กุย (Gui) ประเภทปิ้งย่าง คือการนำเนื้อหมักย่างบนเตาถ่าน อาหารเนื้อชนิดที่เป็นที่นิยมคือ บุลโกกิ (bulgogi) คาลบิ (galbi) และยังมีอาหารจานปลาที่ปรุงด้วยวิธีนี้ 8.เชิน (jeon) จานกระทะร้อน เป็นแพนเค้กชนิดหนึ่งที่ทำจากเห็ด ฟักทอง ปลาแห้งแผ่น หอยนางรม พริกเขียว เนื้อสัตว์ เครื่องปรุงอื่นๆ ผสมกับเกลือและพริกไทยดำก่อนนำไปชุบแป้งและไข่แล้วทอด 9.มันดู (Mandu) ประเภทยัดไส้ ทำด้วยแป้งแผ่นยัดไส้เนื้อ เห็ด แตงทอด ถั่วงอก บางครั้งใช้เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือปลา


ส่วนเมนูจานเด็ดก็มี

1.กิมจิ (Kimchi-ผักดอง) ส่วนผสม : กะหล่ำปลี (หรือแตงกวา หัวหอม หัวไชเท้า หรือผักอื่นๆ) หัวไชเท้าหั่นเป็นเส้น กระเทียมสับ หัวหอมหั่นลูกเต๋า ปลาเค็ม และเกลือ วิธีการทำ: กะหล่ำปลี หรือผักอื่นๆ ล้างด้วยน้ำเกลือมากๆ ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ หมักไว้ เป็นอาหารสุขภาพมีทั้งวิตามินและเกลือแร่

2.บิบิมบับ (Bibimbap-ข้าวต้มผสมผัก) ส่วนผสม: ข้าว ใบเฟิร์นเบรก รากดอกบอล ลูน ถั่วงอก เนื้อวัว พริกแดงบด น้ำมันงา วิธีการทำ: ข้าวสวยผสมด้วยผักต่างๆ ต้มสุก

3.บุลโกกิ (Bul gogi-เนื้อวัวหมักย่าง) ส่วนผสม: เนื้อวัว (หรือเนื้อหมู) น้ำลูกแพร์ หรือน้ำตาล ซอสถั่วเหลือง กระเทียมสับ หัวหอมหั่นลูกเต๋า น้ำมันงา วิธีการทำ: หั่นเนื้อหรือหมูเป็นชิ้นบางๆ แล้วหมักกับเครื่องปรุงต่างๆ นำไปย่าง

4.ซัมแกทัง (Samgyetang-ซุปไก่) ส่วนผสม: เนื้อไก่อ่อน ข้าว กระเทียม เกาลัด พุทรา วิธีการทำ: ล้างไก่แล้วยัดไส้ด้วยเครื่องปรุง นำไปต้ม จะได้น้ำซุปที่ได้รสชาติ

5.เน็งเมียน (Naengmyeon-ก๋วยเตี๋ยวในน้ำซุปเย็น) ส่วนผสม: เส้นก๋วยเตี๋ยว ซุปเนื้อ เนื้อวัว แตงกวา ลูกแพร์ ไข่ต้มสุก วิธีการทำ: ก๋วยเตี๋ยวใส่ในน้ำซุปเนื้อแช่เย็น ยังมี บิบิมแนงเมียน (bibim naengmyeon) ซึ่งไม่ใส่น้ำซุป แต่แทนด้วยพริกแดงบด

6.แฮมุลทัง (Haemultang-สตูว์อาหารทะเล) ส่วนผสม: เนื้อปู หอย กุ้ง ปลา หัวไชเท้า พริกแดงบด พริกป่น หัวหอม กระเทียม วิธีการทำ: ต้มอาหารทะเลทั้งหมดแล้วเติมพริกแดงบดและพริกป่น น้ำซุปเผ็ดร้อนมาก 7.ทัคคาลบิ (Dakgalbi-ซี่โครงไก่) ส่วนผสม: เนื้อไก่ พริกแดงบด น้ำลูกแพร์ น้ำเชื่อม น้ำตาล กระเทียมสับ หัวหอมหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า วิธีการทำ: ปรุงรสเนื้อไก่ด้วยเครื่องเทศต่างๆ แล้วนำไปย่าง


ที่มา: ข่าวสดรายวัน หน้า 24 (update: วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7319)
ชื่อบทความ: อาหารเกาหลี (nachart@yahoo.com)
Ref: อยากขอความรู้ชื่ออาหารเกา หลีชนิดต่างๆ โปรดด้วยนะคะ ปุ้ย
ตอบ ปุ้ย javascript:void(0)

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ร้านอาหาร: ร้าน "บ่อปลาบุญชู"


ไข่เจียวภูเขาไฟสูตรปู-พงษ์สิทธิ์


ชื่อบทความ: "พักผ่อนหย่อนพุง" ชวนชิม "เมนูปลา"กับไข่เจียว"ปู-พงษ์สิทธิ์"
ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์
บทความโดย พี่พุงหลามกับน้องพุงล้น matichon_online@hotmail.com
วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:30:41 น.


สบายดีหนองคาย....วันนี้จะพาเลาะริมโขงจับปลามาปรุงแทนอาหาร "ญวณ" แบบชาวหนองคาย


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ยำหัวปลี" คำใหญ่ๆกินกับข้าวเกรียบงา


เปลี่ยนจากแหนมเนืองคำโตๆมาเป็น "ยำหัวปลี" คำใหญ่ๆกินกับข้าวเกรียบงากันดูบ้างอร่อยไม่แพ้อาหารเวียดนามแน่นอน


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ยำหัวปลี" ข้าวเกรียบงา


"ยำหัวปลี" เป็นอาหารสูตรพิเศษมีเฉพาะในร้าน "บ่อปลาบุญชู" เลื่องลือเรื่องอาหารปลา ตั้งอยู่บนถนนประตักษ์ศิปลาคม ใกล้กับสถานีขนส่งละแวกตลาดและวัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย


กลิ่นข้าวคั่วผสมกับงาโชยเตะจมูกชวนให้สูดดมกระตุ้นต่อมหิวส่งไปสมอง สั่งการให้ลิ้นลิ้มรสชาติ "ยำหัวปลี" ที่วางไว้ตรงหน้าอย่างอดใจไม่ไหว บอกได้คำเดียวว่า "รสชาติยอดเยี่ยมไม่แพ้กลิ่นหอม" ที่ส่งมาเชิญชวน


ปรับสภาพลิ้นกันด้วยยำหัวปลีก่อนลิ้มรสชาติอาหารในร้านกับเมนูอื่นๆ ที่มีให้เลือกมากมายโดยเฉพาะ "ปลา" นำมาจากแม่น้ำโขง พอมองรายการอาหารคร่าวๆแล้วก็ต้องส่ายหน้าไม่รู้จะเลือกกินอะไรดี มีทั้ง ปลากะพง ปลาคัง ปลาสะหงั้ว ปลาโจก ฯลฯ ดูน่ากินไปหมด

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ปลาคังผัดพริกไทยดำ"


จึงขอคำแนะนำจากสาวใหญ่หน้าตาใจดีที่รอรับเมนูให้ช่วยแนะนำ จึงไปสรุปกันที่ "ทอดปลาสะหงั้ว" ปลาจากลำน้ำโขงแท้ๆ "ต้มยำปลาโจก" "ปลาคังผัดพริกไทยดำ" ปิดท้ายด้วย"ปลาน้ำแดง" เป็นอันว่ากินกันเกือบครบทุกชนิด ยกเว้นปลากะพงที่หากินได้ไม่ยาก


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ปลาน้ำแดง"


"ทอดปลาสะหงั้ว" ชิ้นโตๆโปรโมชั่นพิเศษ "หนานุ่มผิวบนบางกรอบ" ในตัวเดียว ชวนน้ำลายไหล จิ้มลงไปใต้ผิวเคลือบกรอบสีเหลืองนวลมีเนื้อนุ่มๆ ชวนให้นึกถึงคนในครัวคงจะพิถีพิถันทอดปลาชิ้นนี้ให้ออกมาสวยงามน่ากิน นุ่ม มัน ตักกินกับข้าวร้อนๆราดน้ำจิ้มเคี้ยวเพลินทีเดียว แถมขนาดปลาก็ใหญ่โตคับจานไม่เหมือนกับภัตตาคารหลายแห่งสิ้นเปลื้องพื้นที่ จานโดยใช่เหตุหรืออาจจะมีเหตุก็ได้

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ทอดปลาสะหงั้ว"

ขณะที่ปลา"สะหงั้วทอด"อยู่เต็มกระพุ้งแก้ม 2 พี่น้องพุง"ล้น-หลาม" เหลียวมองตามกลิ่นหอมของต้มยำหม้อไฟ "ปลาโจก" กลิ่นมะขามสดถูกลวกน้ำร้อนผสมกับเครื่องเทศ ข่า ตระไคร้ มะเขือเทศ ใบแมงรัก ส่งกลิ่นหอมเปรี้ยวของมะขามผ่านทางจมูกข้ามมารสสัมผัวมาที่ลิ้นกันเลยทีเดียว ขอซดน้ำสักคำให้ชื่นใจไล่ปลาสะหงั้วลงท้องไปก่อน


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
"ต้มยำปลาโจก"

"ต้มยำปลาโจก" รสชาติเปรี้ยวพอดีผสมกับความหวานนุ่มจากมะเขือเทศเคล้าเครื่องเทศเผ็ดร้อน แต่รสชาติอ่อนโยนบวกกับเนื้อปลาที่สดนุ่มลิ้น รสชาติกลมกล่อม ซดโฮกๆ "อย่าลืมอมไว้ในปากชิมรสชาติก่อนกลืนลงคอกันละ"


พวกเราเอร็ดอร่อยกันมาก "ชมไม่ขาดปาก" จนพ่อครัว อดย่องออกมาดูหน้าลูกค้าและนำไข่เจียวมาแถมให้อีก 1 จาน ไม่ใช่ไข่เจียวธรรมดาแต่เป็นไข่เจียวภูเขาไฟ ดูจากหน้าตาที่ออกจะพิสดารกว่าไข่เจียวทั่วไปเพราะชิ้นพองโตนุ่มกว่าปกติ พอแหวกเข้าไปมีวุ้นเส้นยัดอยู่ข้างในควันลอยกรุ่นออกมา หอมน่ากินอีกแล้ว...

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
เชฟ"เตี้ย" บุญคำ เรืองยะวี


เชฟ"เตี้ย" บุญคำ เรืองยะวี พ่อครัวคนเก่งอธิบายถึงที่มาที่ไปของไข่ภูเขาไฟจานนี้ว่า เป็นเมนูโปรดของ "ปู - พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์" ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวหนองคาย มักจะสั่งเป็นเมนูพิเศษทุกครั้งที่แวะมาที่ร้าน


เชฟเตี้ยยังแนะนำตัวอีกว่า เป็นเพื่อนสมัยเรียนกับ ปู - พงษ์สิทธิ์ ตอนเด็กๆไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือโตขึ้นมาจึงมาเป็นพ่อครัวไม่เหมือนรายนั้น เขาตั้งใจเรียนและชอบเล่นดนตรีตั้งแต่เด็กๆ ปูมักจะแวะมากินอาหารที่นี้บ่อยคอยแนะนำคนรู้จักให้มาชิมอาหารที่ร้านไม่ลืม ที่จะอวดไข่เจียวภูเขาไฟสูตรปู-พงษ์สิทธิ์ให้ทุกคนชิม


"เชฟเตี้ย" ที่ไม่ได้เตี้ยสมชื่อกลับมีรูปร่างสูงใหญ่ตัวหนา แต่เข้าไปอยู่ในห้องครัวเล็กๆ แถมยังทำอาหารอร่อยถูกใจ จึงขอเข้าไปแอบดูดวิธีการปรุงอาหารถึงในครัว จึงได้รู้ว่ารสชาติที่แสนอร่อยเนื้อปลาที่หวานนุ่มนั้นมาจาก "เนื้อปลาที่สดใหม่" การันตีโดยเชฟมือ 1 ว่า "สดจริงๆ ดิ้น แด่วๆ อยู่เลยตอนที่พ่อค้าขายปลาเอามาส่ง"


ได้ฟังแค่นี้ก็อดสงสารปลาไม่ได้ กลับมาที่โต๊ะนั่งไว้อาลัยให้ 1 นาที ก่อนที่ปลาคังผัดพริกไทยดำจะถูกยกมาแล้วก็หมดในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
ราคาไม่แพง


ใครที่กำลังจะไปเที่ยวหนองคายหรือข้ามโขงไปเที่ยวลาวอย่าลืมแวะไปชิม ปลาที่ร้านบุญชูเปิดบริการตั้งแต่เวลา 10.00น.- 22.00 น. โทร 042- 460132 , 085 2160160

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ข้าวผัดดอกอัญชันไก่ทอดตะไคร้กรอบ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ข้าวผัดดอกอัญชันไก่ทอดตะไคร้กรอบ
DINNING IN
savoury cake

เค็กชื่นชอบสีดอกอัญชันมาก เพราะจะออกสีน้ำเงินเข้มสวย ซึ่งดอกอัญชันนี้เค็กจะใช้ทำเป็นขนมประจำอย่างเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ใช้ทำบัวลอยเผือกค่ะ แต่มักไม่เคยใช้ทำอาหารสักเท่าไร เห็นคนอื่นเขาทำข้าวดอกอัญชันก็อยากทำมั่งเลยได้ออกมาเป็น ′ข้าวผัดดอกอัญชันไก่ทอดตะไคร้กรอบ′ จานนี้แหละค่ะ

เริ่มต้นหุงข้าวก่อนโดยใส่ข้าวประมาณ 2 ถ้วยและน้ำสะอาดตามปกติ เพิ่มดอกอัญชันสด 5-6 ดอกเด็ดขั้วสีเขียวออกแล้วใส่ลงในหม้อหุงข้าวด้วย เมื่อข้าวสุกแล้วใช้ไม้พายคนก็จะได้ข้าวสีน้ำเงินสวย สำหรับทำข้าวผัดให้นำข้าวมาตากแผ่ไว้เพื่อให้เย็นและไม่แฉะจะได้ผัดข้าวอร่อย แต่ถ้าจะรับประทานเป็นข้าวสวยกับกับข้าวเฉย ๆ ก็ได้นะคะ

หั่นเนื้อไก่อกหรือสะโพก 200 กรัม เป็นชิ้นพอคำหมักกับตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนชา น้ำตาล 1/2 ช้อนชา แป้งมัน 1/2 ช้อนชา และน้ำมัน 1/2 ช้อนชา หมักไว้สักชั่วโมงหนึ่ง ระหว่างรอให้ซอยตะไคร้สำหรับทอดไว้กำมือใหญ่ การซอยตะไคร้ให้บางจะได้ตะไคร้ทอดที่กรอบและไม่เหนียว

ตั้งน้ำมันสำหรับของทอดก่อน โดยทอดเครื่องเคียงคือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้เหลืองทองและใส่กระชอนสะเด็ดน้ำมันไว้ สำหรับตะไคร้ให้คลุกกับเกลือทะเลและแป้งอเนกประสงค์ให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ทอดในน้ำมันทีละน้อยให้เหลืองทองและใส่กระชอนสะเด็ดน้ำมันไว้เช่นกัน

เทน้ำมันออกจากกระทะให้เหลืออยู่แค่ 2 ช้อนชา ใส่ไก่ที่หมักไว้ลงทอดพอสุกเหลืองจึงใส่ข้าวดอกอัญชันลงไปผัดด้วย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลอีกที จัดใส่จานรับประทานพร้อมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด พริกขี้หนูซอย มะนาว ประดับด้วย ดอกอัญชันสด ถ้าจะให้ครบชุดก็ดื่มด้วยน้ำมะนาวโซดาใส่ดอกอัญชัน จะอร่อยมากค่ะ

ตู้กับข้าว
ตะไคร้
น้ำปลา
น้ำตาล
เกลือทะเล
แป้งอเนกประสงค์
แป้งมัน
น้ำมัน

อาหารประจำบ้าน
เนื้อไก่
พริกขี้หนู
มะนาว
สีสัน
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด
ดอกอัญชัน


Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 04 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:01:02 น.)

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุณค่าทางอาหาร: ไปอีสาน กินข้าวหอมนิล...กันเถอะ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ไปอีสาน กินข้าวหอมนิล...กันเถอะ
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนีร้อนไปพึ่ง (อากาศ) เย็น ที่อีสาน ได้คลุกฝุ่นลุยดิน ดูวิถีชีวิตชาวนาที่บ้านหนองแต้ อ. อุบลรัตน์ จ. ขอนแก่น


บอกตรงๆ เห็นท้องนา ท้องไร่ เขียวชะอุ่ม ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดแล้ว อยากลาพักร้อนสัก 10 วัน ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

ที่บ้านหนองแต้แห่งนี้ มีโครงการ ทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสน ที่ชาวนาและเอกชนอย่างหอการค้าไทย ภาคภูมิใจนำเสนอ โดยเฉพาะ การปลูกข้าวหอมนิล ชาวบ้านบอกว่า ข้าวหอมนิล กินแล้วเป็นยา ช่วยต้านทานโรคได้สารพัด


หน้าตาของข้าวหอมนิล เป็นข้าวเจ้าสีดำเมล็ดใส ที่ได้จากการคัดพันธุ์กลายของข้าวเหนียวดำต้นเตี้ยจากจีน ลำต้นของข้าวหอมนิลสูงประมาณ 60-75 เซ็นติเมตร ใบและลำต้นมีสีเขียวปนม่วง ส่วนเมล็ดข้าวนั้นมีสีม่วงเข้มจนเกือบดำ


จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ลักษณะเมล็ดเรียวยาว รสหวาน เนื้อนุ่มเหนียว เมื่อหุงสุกจะมีสีม่วงอ่อน


เจ๊ใหญ่ บุกถึงห้องครัวชาวนา ชิมข้าวหอมนิลเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วบอกว่า "เหนียวนุ่ม หอมหวาน และกลมกล่อมมาก เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง ข้าวแป้ง กับ ข้าวยา กินแล้วอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ”


"ลุงสมัย สายอ่อนตา" ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่ แห่งบ้านหนองแต้ ให้ความรู้ว่า เมื่อเปรียบเทียบข้าวทั่วไปแล้วข้าวหอมนิลมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าถึง 7 เท่า

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ข้อมูลจากจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ บอกว่า ข้าวหอมนิลเป็นข้าวที่มีโภชนาการสูง เพราะประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 10-10.25% มีแคลเซียม 4.2 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีธาตุเหล็กระหว่าง 2.25-3.25 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีโพแทสเซียม 339.4 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีธาตุสังกะสีประมาณ 2.9 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และมีสารแอนตี้ออกซิเดชั่นสูงถึง 293 ไมโครกรัมต่อกรัม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบข้าวทั่วไปแล้วข้าวหอมนิลมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าถึง 7 เท่า

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นอกจากนี้ เยื่อหุ้มเมล็ดที่เป็นสีม่วงเข้มของข้าวหอมนิล ประกอบไปด้วยสาร anthocyanin, proanthocyanidin, bioflavonoids และวิตามิน E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสีผสมอาหารตามธรรมชาติ


ในส่วนของรำและจมูกข้าว มีวิตามิน E วิตามิน B และกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ในส่วนของรำมีน้ำมันรำข้าว 18% เป็นองค์ประกอบ ซึ่ง 80% เป็นชนิด C18:1 และ C18:2 เหมือนกับน้ำมันที่ได้จากถั่วเหลืองและข้าวโพด


นอกจากนี้ ยังพบว่า ข้าวหอมนิลมีสาร โอเมกา-3 ประมาณ 1-2% รำข้าวของเจ้าหอมนิลมีปริมาณเส้นใย digestible fiber สูงถึง 10% จากข้อมูลทางโภชนาการนับได้ว่าข้าวเจ้าหอมนิลเป็นข้าวที่มีศักยภาพในการนำมา แปรรูปทางอุตสาหกรรมอาหารสูง เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารจากแป้งข้าวเจ้าหอมนิล รวมทั้งขนบขบเคี้ยวต่าง ๆ


ส่วนสรรพคุณข้าวหอมนิล มีมากมาย ทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดอาการอักเสบโดยเพิ่มความแข็งแรงของเส้นใยโปรตีนในเนื้อเยื่อเกี่ยว พันและกระดูกอ่อนได้ จึงช่วยลดการทำลายจากอนุมูลอิสระ


มากกว่านั้น ยังช่วยปกป้องหลอดเลือด โดยการช่วยขยายหลอดเลือด และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดโดยไปยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง กระตุ้นให้เส้นผมดำ ชะลอผมหงอก และมีฤทธิ์ต้านรังสียูวี


ไม่เท่านั้น ข้าวหอมนิล ยังมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกาะติดเชื้อ โดยป้องกันการเกาะติดเชื้อของเซลล์แบคทีเรียกับผนังเซลล์ของเนื้อเยื่อที่ เป็นแผล เช่น ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ช่วยป้องกันการเกิดโรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง รวมทั้งช่วยลดผลกระทบจากรังสียูวีต่อผิวหนังได้


ด้วยคุณประโยชน์มากมายเช่นนี้ จึงมีการแปรรูปข้าวหอมนิลมาผลิตเป็นแชมพูสระผมและครีมนวดผม เนื่องจากสารแอนโทไซยานินจะช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกหนาขึ้น รวมทั้งมีการนำไปทำสบู่ด้วย และยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เช่น สบู่ ครีมแต้มสิว และครีมบำรุงผิวรอบดวงตาอีกด้วย ที่สำคัญคือสารโปรแอนโทไซยานิดินยังช่วยให้คุณคุมน้ำหนักตัวได้ เพราะมีรสหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 35 เท่า


ข้าวหอมนิลจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้รักสุขภาพได้เป็นอย่างดี


ลุงสมัยเล่าด้วยความภาคภูมิใจ ว่า ลุงเป็นชาวนา ที่ปลูกข้าวด้วยใจ ไม่ได้ปลูกด้วยเงิน


ผมทานข้าวหอมนิลแล้ว เห็นพ้องกับเจ๊ใหญ่ว่า นุ่มและหอมสมคำร่ำลือ แต่อดที่จะจินตนาการต่อไม่ได้ว่า ถ้าได้แกงไตปลาปักษ์ใต้สักถ้วย ไข่เจียวร้อนๆสักจาน ปลาเค็มทอดร้อนๆ อีกสักตัว .... แม่เจ้าเว้ย !


ที่มาบทความ: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:20:26 น.)
Ref: เรื่อง : ภาพ ดุจมาดา / วิชชุดา ชาญณรงค์

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ร้านอาหาร: ส้มตำ ′บ้านระกา′

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ส้มตำ ′บ้านระกา′

ส้มตำเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายๆคน ทั้งสีสันที่หลากหลายและรสชาติที่จัดจ้าน จึงเป็นอาหารที่เต็มไปด้วยความสนุก ส้มตำถ้าจะกินให้อร่อยและสนุก เรานิยมกินกับเพื่อนหรือญาติมิตที่สนิท เพราะมันเต็มที่ในการเปิบดี

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

′ร้านบ้านระกา′ เป็นร้านส้มตำบรรยายกาศดี ร่มรื่น และเป็นกันเอง บริการดี อาหารอร่อย
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปกินกับเพื่อนๆ พวกเราก็เลือกกันคนละ เมนู สองเมนู

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

แต่ก็เลือกอยู่นานเพราะอาหารระรานตาน่ากินหลายอย่างแล้วก็เลือกมาได้ 4-5 เมนู
มีส้มตำไข่เค็ม ลาบทอด ยำตะไคร้ ต้มแสบกระดูกหมู ไก่เบรคแตก น้ำตกหมู

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมนูที่ที่ทุกคนชอบนั้นเป็นลาบทอด มาในรูปแบบกรอบๆกรุบๆ
ส่วนไก่เบรคแตก ได้กินแล้วหยุดไม่ได้จริงๆ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ส้มตำรสชาติไม่เผ็ดมาก อาจเป็นเพราะปรับให้เขากับคนกรุง ที่ไม่ค่อยกินเผ็ด แต่รสชาติยังครบทุกรสทำให้ไม่เสียรสชาติ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

มาถึงกระเพาะของหวาน ที่นี้นอกจากพวกผลไม้ลอยแก้ว ก็ยังมีไอศรีมโบราณที่น่ากินไม่แพ้กัน
แต่ทำเอาผู้เขียนต้องคิดหนัก เพื่อจะตัดสินใจเลือกเมนูใดเมนูหนึ่ง และแล้วก็ได้เป็นผลไม้ลอยแก้ว

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ที่พวกเราสั่งมา 2 อย่าง เป็นลูกตาลลอยแก้ว และมะปรางลอยแก้ว

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เลยต้องตัดใจกับไอศรีมโบราณ แม้คนเราน่าจะมีสัก 4 กระเพาะ กินเผื่อพรุ่งนี้เอาไว้น่าจะดี
อย่างนี้คงต้องกลับไป ′บ้านระกา′ อีกสักครั้ง

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 15:21:39 น.)

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดอกชมจันทร์เจี๋ยนกุ้งสด



ดอกชมจันทร์เจี๋ยนกุ้งสด

อาทิตย์ก่อนญาติ ๆ ที่บ้านไปเขาใหญ่มาเลยมีของมาฝากเป็นวัตถุดิบชนิดใหม่มาให้เราด้วย เป็นดอกไม้ตูม ๆ สีเขียวสวย คนที่นั้นเรียกกันว่า ดอกชมจันทร์ หรือดอกไม้จีนสด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้าดอกชมจันทร์นี้ไม่ใช่พืชพันธุ์เดียวกับดอกไม้จีน เราใส่ในแกงจืดวุ้นเส้นนะคะ แต่เป็นตระกูลเดียวกับผักบุ้งฝรั่งต่างหากค่ะ ป้า ๆ บอกว่าดอกชมจันทร์อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและฟอสฟอรัส แถมมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ กินแล้วจะผอมด้วยคร้า !

ดอกชมจันทร์นี้ส่วนมากเขาจะนำไปผัดน้ำมันหอยกัน แต่วันนี้เค็กไม่ค่อยอยากทำสักเท่าไร...คิดอยู่ตั้งนานว่าจะเอาดอกชมจันทร์ นี้มาทำอะไรจนมาตกลงที่ ดอกชมจันทร์เจี๋ยนกุ้งสด ซึ่งใช้วิธีทอดอาหารก่อนแล้วจึงใส่น้ำซุปและเครื่องปรุงลงไปทำให้ได้อาหาร ที่หอมอร่อยค่ะ

นำกุ้งกุลาหรือกุ้งขาวตัวใหญ่หน่อย 400 กรัมปอกเปลือกเด็ดหัวไว้ผสมแป้งมันสำปะหลัง 1 ช้อนชา และเกลือทะเลหยิบมือหนึ่ง ส่วนดอกชมจันทร์ก็ล้างให้สะอาดใส่กระชอนสะเด็ดน้ำไว้ ทำน้ำปรุงรสเตรียมไว้ให้พร้อมตั้งแต่ตอนนี้เลย นำน้ำซุป 150 มิลลิลิตร ผสมแป้งมัน สำปะหลัง 1 ช้อนชา ซอสหอยนางรม 2 ช้อนชา ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา น้ำตาล 1/2 ช้อนชา น้ำมันงา 1 ช้อนชา

ใส่น้ำมันลงในกระทะ 2 ช้อนโต๊ะ นำกุ้งลงทอดจนสุกแล้วตักออกพักไว้ เทน้ำมันให้เหลือแค่ 1 ช้อนชา ใส่กระเทียมสับ 1 ช้อนชาลงผัดพอหอมจึงใส่ดอกชมจันทร์ผัดพอสะดุ้งไฟจึง ค่อย ๆ ใส่น้ำปรุงรส ตั้งจนเดือดข้นเหนียวจึงใส่กุ้งลงไป เคี่ยวต่ออีกสักครู่ ให้เข้าเนื้อแล้วตักใส่จาน จัดขึ้นโต๊ะ เสิร์ฟญาติ ๆ ทั้งหลายที่มานั่งรอชิม ของฝากค่ะ

ตู้กับข้าว

กระเทียม น้ำมันพืช น้ำมันงา แป้งมันสำปะหลัง เกลือทะเล ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาล

อาหารประจำบ้าน

กุ้งสด น้ำซุป

สีสัน

ดอกชมจันทร์


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 09:43:35 น.)

ไม่อยากเป็นโรคกระดูกพรุน น้ำมะเขือเทศช่วยได้




ไม่อยากเป็นโรคกระดูกพรุน น้ำมะเขือเทศช่วยได้

ดื่มน้ำมะเขือเทศวันละ 2 แก้ว ช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการเป็นโรคกระดุกพรุนได้ นักวิทยาศาสตร์กล่าว

ส่วนประกอบที่เป็นกุญแจสำคัญคือ ′ไลโคปีน′ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากและป้องกันโรคหัวใจ

มีชาวอังกฤษประมาณ 3 ล้านคนที่เป็นโรคกระดูกพรุน

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโตในแคนนาดา ถามผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนจำนวน 60 คน

ในช่วงอายุ 50-60 ปี ที่ตัดอาหารที่มีส่วนประกอบจากมะเขือเทศออกเป็นเวลาหนึ่งเดือน

ทำให้นำไปสู่การเพิ่มระดับ เอ็น-เทลโลเปปไทด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่อยู่ในกระแสเลือด เมื่อกระดูกเริ่มมีการสะลายตัว

ต่อจากนั้นอีก 4 เดือน จะได้รับน้ำมะเขือเทศที่มีไลโคปีน 15 มิลลิกรัม

กลุ่มหนึ่งให้ไลโคปีนในรูปแบบแคปซูลขนาด 35 มิลลิกรัม

และอีกกลุ่มให้กินแคปซูลเปล่าหรือยาหลอก

ชี้ให้เห็นว่าระดับเอ็น-เทโลเปปไทร์ลดลงในผู้หญิงที่ดื่มน้ำมะเขือเทศหรือกินไลโคปีนแบบแคปซูล

แต่จะไม่เกิดผลสำหรับผู้ที่กินยาหลอก

ทั้งนี้น้ำผลไม้ในซุปเปอร์มาเก็ตนั้นมีปริมาณไลโคปปีนในเกณฑ์มาตรฐาน นักวิจัยกล่าว

การดื่มน้ำมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคปีน 15 มิลลิกรัมวันละ 2 แก้ว

สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง รายงานจากวารสารโรคกระดูกพรุนระหว่างประเทศ



ที่มาข้อมูล: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 07:10:56 น.)
ข้อมูลจาก :เดลี่เมลล์ออนไลน์

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์


บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน
คอลัมน์ Dining In โดย savoury cake



บัวลอยนั้นเป็นขนมที่เราชอบทำทานเล่นตอนเด็ก ๆ ค่ะ เพราะเราชอบปั้นเม็ดบัวลอยซึ่งสนุกเหมือนปั้นดินน้ำมัน แถมยังได้ของอร่อยทานอีกด้วยค่ะ เราชอบเล่นแข่งกันช้อนบัวลอยขึ้นมาจากหม้อ โดยนั่งเฝ้าตั้งแต่ใส่ลูกบัวลอยลงไปตอนแรกซึ่งแป้งจะจมก่อน พอลอยปุ๊บก็ต้องแข่งกันตักขึ้นใส่น้ำเย็นทันที ใครได้มากกว่ากันชนะค่ะ !

คนเราก็แปลกนะคะ ที่ความชอบทานอาหารเปลี่ยนกันได้ตามอายุ อย่างตอนเด็ก ๆ เค็กชอบทานบัวลอยใบเตยสีเขียวสวย

แต่พอโตขึ้นกลับเปลี่ยนใจไปชอบบัวลอยเผือกสีตุ่น ๆ มากกว่า เพราะบัวลอยเผือกนั้นเนื้อออกมัน ๆ เหนียว ๆ อร่อยกว่านิคะ

บัวลอยเผือกที่เราทำนี้เค็กใส่น้ำดอกอัญชันลงไปด้วย เพื่อให้เป็นสีน้ำเงินสวยน่าทานค่ะ น้ำดอกอัญชันนั้นทำไม่ยาก แค่ใส่ดอกอัญชันสดหรือแห้ง 4-5 ดอก ลงในถ้วยกาแฟ ใส่น้ำร้อนลงไปครึ่งถ้วย แช่ไว้จนเย็นจึงกรองน้ำสีน้ำเงินสดมาใช้

ปั้นบัวลอยก่อน โดยนวดแป้งข้าวเหนียว 150 กรัม เผือกนึ่งสุกบดละเอียด 100 กรัม ให้เข้ากันดีจึง

ค่อย ๆ เหยาะน้ำดอกอัญชัน 50 มิลลิลิตรลงไป นวดจนแป้งนุ่มเหนียว (ถ้าแป้งแห้งไปไม่นุ่มเหนียวสามารถเติมน้ำสะอาดลงไปได้นะคะ)

ตั้งน้ำสะอาดใส่หม้อไว้พอเดือด ใส่บัวลอยลงต้ม เมื่อสุกดีจะลอยขึ้นมาก็ให้ตักออกแช่น้ำเย็นไว้น่ะค่ะ

ส่วนมะพร้าวอ่อนนั้น

เราใช้ 2 ลูกค่ะ ให้กะเทาะเปลือกออกแล้วใช้ช้อนขูดเนื้อจากมะพร้าวอ่อนให้เป็นแผ่น ๆ (น้ำมะพร้าวเราไม่ใช้นะคะ ก็ถือว่ายกให้แม่ครัวดื่มไปล่ะกันค่ะ)

การทำน้ำกะทินั้น ให้ต้มน้ำตาลทรายขาว 150 กรัม เกลือทะเล 1/2 ช้อนชา ใบเตยสด 1 ใบ กับหางกะทิ 300 กรัม จนเดือดน้ำตาลละลายดีค่อยใส่หัวกะทิต้มให้ร้อน จึงใส่ลูกบัวลอยพร้อมทั้งเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไป พอน้ำกะทิเดือดอีกครั้งตักใส่ชามรับประทานอุ่น ๆ ค่ะ แล้วถ้าที่บ้านคุณนั้นชื่นชอบเผือกเหมือนบ้านเค็ก ก็ให้ใส่เผือกนึ่งหั่นเป็นลูกเต๋าไปด้วยได้นะคะ

ตู้กับข้าว

น้ำตาลทรายขาว เกลือทะเล

อาหารประจำบ้าน

แป้งข้าวเหนียว เผือกนึ่ง

สีสัน

มะพร้าวอ่อน น้ำกะทิสด

ดอกอัญชัน ใบเตยสด


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 13:13:03 น.)

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ร้านอาหาร: "ข้าวมันไก่ซั่งไห่"

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
หมูพันชั้น


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
หมูแดง


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
เสี่ยวหลงเปา


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
ขนมจีบกุ้งจักรพรรดิ์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

ที่มา: matichon Online (update วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 00:55:48 น.)
ชื่อบทความ: กินได้ไม่เลือกเวลา "ข้าวมันไก่ซั่งไห่" 24 ชม.แนะอีกเมนูเด็ด"หมูพันชั้น"
โดย ตุลยย์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
ข้าวมันไก่ ตามวิกิพีเดียระบุไว้ว่า "เป็นอาหารคาวของไทยและจีน คาดว่าอาหารชนิดนี้ได้รับการเผยแพร่มาจากชาวจีนหลี (หรือไหหลำ หรือไห่หนาน) มีให้รับประทานกันทั่วทุกภาคในประเทศไทย และนิยมกันมากในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีน นอกจากนี้ยังนิยมรับประทานกันมากในมาเลเซียและสิงคโปร์อีกด้วย" ไม่น่าแปลกที่ไทยเองก็มีอาหารจานเดียวและด่วนชนิดนี้วางขายอยู่ทั่วทุกหัวระแหง แต่หากอยากได้ทางเลือกที่มากกว่า "ตุลยย์" ขอแนะนำ.. ข้าวมันไก่ซั่งไห่


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

หากเคยเข้าร้าน "ซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา" แล้วสั่งข้าวมันไก่.. ตอนนี้จากจานเด็ดตั้งขึ้นเป็นร้าน "ข้าวมันไก่ซั่งไห่" ที่เปิดมาแล้วถึง 4 สาขา แต่สาขาที่เราจะแนะนำวันนี้คือที่พระราม 4 อยู่ติดช่อง 3 อาคารมาลีนนท์ โดดเด่นตรงที่เปิด 24 ชั่วโมง ร้านนี้ชูจุดขายที่"ข้าวมันสาหร่ายสีดำ"มากด้วยคุณประโยชน์สูตรเฉพาะใช้สาหร่ายไถ่ไช่ วัตถุดิบนำเข้าประเทศจีน มีเบต้าแคโรทีนมากกว่าผักถึง 25 เท่า หุงด้วยอุณหภูมิพอเหมาะร่วมกับสมุนไพรและเครื่องเทศ ทานคู่กับไก่ตอนที่คัดขนาดพอเหมาะ เนื้อแน่น จากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์

เทคนิคอยู่ที่การควบคุมความร้อนอย่างสม่ำเสมอ เนื้อไก่จึงหอมนุ่ม ที่มาพร้อมน้ำจิ้ม 3 สูตร
1.น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว
สูตรต้นตำรับจากเต้าเจี้ยวหมักชั้นดีของเมืองจีน
2.น้ำจิ้มซั่งไห่
หอมสมุนไพรพิเศษจากเมืองจีนหลายชนิด หมักในถังไม้นานหลายสัปดาห์ และ
3.น้ำจิ้มต้นหอม ใช้น้ำมันสกัดจากต้นหอม, ขิงซอย และสมุนไพรต่างๆ ปรุงเข้าด้วยกัน รสชาติแบบจีนทางตอนใต้ เรียกได้ว่าเป็นน้ำจิ้ม 3 ภูมิภาคเลยทีเดียว


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
หลังจากดื่มชาจีนเย็นๆ ให้ชื่นใจ ก็แนะให้ลิ้มลองออร์เดิร์ฟอย่าง "ขนมจีบกุ้งจักรพรรดิ์" ความกรอบของกุ้งกรุบๆ ในปากใส่ชิ้นใหญ่ไม่เจือแป้งเยอะๆ แบบบางร้าน ต่อด้วย"เสี่ยวหลงเปา"ของขึ้นชื่อที่ต้องทานให้ถูกวิธีป้องกันปากพอง โดยการกัดเบาๆ เพื่อให้น้ำซุปร้อนๆ ไหลลงช้อน เป่าพออุ่นๆ ก่อนตักเข้าปาก เนื้อหมูนุ่มเนียนเคล้าน้ำซุปกลมกล่อม จิ้มซอสเปรี้ยวใส่ขิงซอย เคล็ดลับอยู่ที่การหมักหมูแล้วนึ่งจนน้ำซุปไหลออกมา..



มาถึงจานเด็ด สีดำของข้าวมันที่ไม่คุ้นเคยแต่รสชาตินั้นหอมสาหร่ายแล้วคงรสของ"ข้าวมันสาหร่าย" สามารถทานคู่ได้ทั้งไก่ตอนต้มและไก่ทอดที่มาพร้อมน้ำจิ้มออกรสเปรี้ยวหวาน สำหรับพระเอกของวันนี้อย่างไก่ตอนชิ้นโตเต็มคำ นั้นเลือกได้ว่าจะเอาผสมทุกส่วน หรือสั่งแยกเป็น อก น่อง หรือสะโพก จิ้มเต้าเจี้ยวจะได้รสกลมกล่อม น้ำจิ้มต้นหอมให้รสเค็มมันของต้นหอม สำหรับคนชอบ"จัดจ้าน"ต้องน้ำจิ้มซั่งไห่

อีกจานไฮไลต์"หมูพันชั้น" หมู 3 ชั้นหั่นสไลด์ชิ้นบางเฉียบซ้อนกันตุ๋นจนนิ่ม รองด้วยหน่อไม้จีนตุ๋นจนนุ่ม ก่อนราดน้ำซอสจีน รสชาติหวานแทบละลายในปากทานกับข้าวร้อนซดน้ำซุปให้ชุ่มคอ ไม่ลืมของเด็ดอย่าง"หมูแดง"ของที่นี่ก็อร่อย ชอบตรงผักดองที่ต้องทานเคียงกันรสคล้ายกิมจิแต่ไม่เปรี้ยวโดด


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
นอกจากนี้ ยังมี"หมูสามชั้นจักรพรรดิ์" หมูนุ่มหั่นเป็นชิ้นพอคำตุ๋นจนเปื่อย รองด้วยผักไต้หวันหวานกรอบราดด้วยซอสตำรับซั่งไห่ จานนี้นิยมทานกับหมั่นโถว หากชอบเป็นเส้นหมี่ผัดก็มีให้เลือก ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง สาคูแคนตาลูป สละลอยแก้ว หรือบัวลอยงาดำ ก็ตามใจชอบ


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
ข้าวมันไก่ซั่งไห่ สาขาพระราม 4 ส่งฟรีสำหรับบริเวณใกล้เคียง โทร.สอบถามได้ที่ 02-661-5117 เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนอีก 3 สาขา ประกอบด้วย ตลาดบองมาเช่ (โซนฟู้ดคอร์ท) อารีย์การ์เด้น และชั้นจี เซ็นทรัล บางนา


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
สำหรับซั่งไห่เสี่ยวหลงเปามี 6 สาขา ชั้น 3 เซ็นทรัลลาดพร้าว (ฝั่งฟู้ดวิลเลจ) ชั้น 3 มาบุญครอง (ฝั่งโตคิว) ชั้น 5 เซ็นทรัลพระราม 3 ชั้น 2 เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 2 เมเจอร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และชั้น 2 เดอะมอลล์บางกะปิ เพิ่มเติมที่ http://www.xiaolongpao.com


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์


จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์