วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สุขภาพ: พืชที่มีแคลเซียมสูง

จาก อัลบั้มbangkokhealth.com
พืชที่มีแคลเซี่ยมสูง

แคลเซียม เป็นเกลือแร่ที่มีมากที่สุดในร่างกาย โดยแคลเซียมทั้งหมดที่มีในร่างกายร้อยละ 99 อยู่ที่กระดูกและฟัน ซึ่งทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง แคลเซียม ส่วนที่เหลืออยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ และของเหลว ในร่างกาย ซึ่งมีความจำเป็นต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ การหดตัวของกล้ามเนื้อและกระตุ้น การส่งผ่านของระบบประสาท

หน้าที่หลักของแคลเซียม คือ ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของกระดูกและฟัน กระดูกของผู้ชายในวัยเจริญพันธุ์ ประกอบด้วยแคลเซียมประมาณ 1.2 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนย้ายแคลเซียมระหว่างกระดูกและเลือด ตลอดจนส่วนอื่นๆ ของร่างกายอยู่ตลอดเวลาโดยการควบคุมของฮอร์โมน กระบวนการเมตาบอลิซึมของวิตามินดีมีความสำคัญต่อร่างกายโดยช่วยเพิ่มการดูด ซึม แคลเซียมของกระดูก

แคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาทและการหดตัว ของกล้ามเนื้อ แคลเซียมยังมีความจำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือดเมื่อมีบาดแผล ถ้าร่างกายขาด แคลเซียมจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็ก ส่วนในผู้ใหญ่จะเกิดภาวะกระดูกเสื่อม ภาวะกระดูกเสื่อม เกิดจากร่างกายขาดแคลเซียมหรือได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายต้องดึงแคลเซียม จากกระดูกมาใช้ ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง เป็นผลให้กระดูกแตกหรือหักง่าย

ภาวะกระดูกเสื่อมจะเกิดขึ้นเมื่อใดขึ้นกับปัจจัยของแต่ละบุคคล โดยปกติจะเกิดขึ้นหลังจากอายุ 35-40 ปี โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนเนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอส โตรเจน ภาวะต่อการเสี่ยง ของโรคกระดูกเสื่อมนอกจากอาหารแล้วยังมีปัจจัยอื่นอีก เช่น การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ อาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมหลายชนิด เช่น นมและ ผลิตภัณฑ์นม ผักใบเขียว งา เต้าหู้และปลาตัวเล็กตัวน้อย

แคลเซียมจากพืช

1. อาหารจากพืชที่มีแคลเซียมส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยพืชเมล็ดผักใบเขียวและเต้าหู้

2. แคลเซียมมีอยู่ในอาหารแทบทุกชนิดที่เจริญมาจากพื้นดิน มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป พื้นดินให้ ธาตุแคลเซียมกับพืช เพื่อให้พืชมีโครงร่างที่แข็งแรง สัตว์กินพืชทั้งหลายก็ได้รับแคลเซียมจากพืชอีกต่อ หนึ่ง แหล่งของแคลเซียมจึงมีอยู่มากในพวกพืชผักใบเขียว ผักในบ้านเราที่พบว่ามีแคลเซียมอยู่มาก ได้แก่ ใบชะพลู ใบยอ ยอดแค ยอดสะเดา ผักคะน้า ผักแพว

3. งาดำเป็นพืชที่มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่านมวัวเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลือง จึงมีการ เติมงาดำเพื่อเสริมแคลเซียมให้สูงมากขึ้น รวมทั้งมีการเสริมงาดำในเครื่องดื่มธัญพืชและขนมขบเคี้ยว ต่างๆ มากขึ้น

4. นอกจากงาดำแล้ว ก็ยังมีพวกถั่วเหลือง ถั่วแดงหลวง และเม็ดบัว ซึ่งมีปริมาณแคลเซียมมากเช่นกัน

5. อาหารที่มีแคลเซียมสูง (เกิน 50 มิลลิกรัม/100 กรัม) ประเภทพืช ได้แก่ รำข้าว กลอย มันเทศ สาคู เม็ด งาดำ งาขาว ซีอิ้ว เต้าเจี้ยว เต้าหู้ทุกชนิด รวมทั้งฟองเต้าหู้ ถั่วแขก ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแปบ ถั่วพู ถั่ว ฝักยาว ถั่วแระ ถั่วลิสง ถั่วหรั่ง ถั่วเหลือง เมล็ดดอกคำฝอย เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดบัว เมล็ด หางนก ยูงฝรั่งเมล็ดอัลมอนด์มันฮ่อ


จาก อัลบั้มbangkokhealth.com
รายชื่อพืชที่มีแร่ธาตุแคลเซียมสูงสุด 10 อันดับแรก จากรายงานของสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

1. ใบยอ (จ.ปัตตานี) 841 มิลลิกรัม/100กรัม
2. ใบชะพลู 601 มิลลิกรัม/100 กรัม
3. ผักแผว (จ.อุบลฯ) 573 มิลลิกรัม/100 กรัม
4. เห็ดลม 541 มิลลิกรัม/100 กรัม
5. ใบยอ 469 มิลลิกรัม/100 กรัม
6. มะขามสด 429 มิลลิกรัม/100 กรัม
7. แค (ยอด) 395 มิลลิกรัม/100 กรัม
8. ผักกะเฉด 387 มิลลิกรัม/100กรัม
9. สะเดา (ยอด) 354 มิลลิกรัม/100 กรัม
10. สะแล 349 มิลลิกรัม/100กรัม

พืชเมล็ด


1. พืชเมล็ด ได้แก่ ถั่ว และงา เป็นต้น ถั่วต่างๆ มีแคลเซียมอยู่ปานกลางถึงสูงแตกต่างกันไป แต่ในกลุ่ม นี้ก็มีสารเคมีบางตัวที่อาจจะขัดขวางการนำแคลเซียมไปใช้เรียกว่าไฟเตท อย่างไรก็ตามมีการวิจัยพบว่า แคลเซียมจากถั่วหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ แต่โดยรวมแล้วน้อยกว่า นม ส่วนงาซึ่งมีไฟเตทสูงกว่ามาก

2. ถั่วพูเป็นยอดอาหารเหนือชั้นกว่าพี่น้องตระกูลถั่วทั้งหลาย เพราะถั่วพูที่มีระบบการสร้างปมรากมากกว่า ใคร ทำให้มีความสามารถในการตรึงธาตุไนโตรเจนในอากาศได้อย่างดีเยี่ยม ถั่วพูยังจัดเป็นพืชไม่กี่ชนิด ที่กินได้แทบทุกส่วน เมล็ดถั่วพูแก่มีโปรตีนอยู่ถึงร้อยละ 34 พอๆ กับเมล็ดถั่วเหลืองที่เรารู้จักดี ถั่วพูจึง จัดอยู่ในอันดับเป็นพืชที่ให้แหล่งโปรตีนที่ดีเยี่ยม นำมาทำผลิตภัณฑ์อาหารได้ดีเหมือนถั่วเหลือง และดู เหมือนว่าจะได้เปรียบกว่าตรงรสชาติที่ไม่มีกลิ่นเต้าหู้

3. ถั่วพูเป็นพืชทีมีสารขัดขวางต่ำ จึงทำให้การดูดซึมแคลเซียมได้สูง ดังนั้น กินถั่วพูแล้วร่างกายสามารถ ดูดซึมแคลเซี่ยมไปใช้ได้ประมาณ 40-50 % เมื่อเปรียบเทียบกับการดูดซึมแคลเซียมจากนมวัวในหญิง ไทยอายุ 30 ปี ซึ่งมีค่าอยู่ที่ประมาณ 55% แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไม่นิยมการดื่มนมหรือดื่มนมไม่ได้เพราะ ร่างกายไม่ย่อยทำให้ท้องอืด ควรหันมาเลือกกินถั่วพูมากๆ แม้การดูดซึมจะไม่มากเท่าแต่ก็เป็นรองเล็ก น้อย ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูงทีเดียว

4. ตำลึงเป็นผักที่อุดมด้วยวิตามินแร่ธาตุจำนวนมาก ที่โดดเด่นมีการรณรงค์ให้เด็กกินผักตำลึงมากๆ เพราะตำลึงมีเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก ดังนั้นทั้งตำลึงริมรั้วและถั่วพูที่โตเร็วขึ้นค้างให้เก็บฝักง่ายๆ นั้น เป็นผักที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เป็นยาสมุนไพรที่ใกล้ชิดชาวบ้าน และล่าสุดจากการศึกษาของ สภาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ทำการเปรียบเทียบพืชผักหลายชนิด เพื่อดูว่าพืชชนิดไหนที่ มีแคลเซี่ยมสูง และร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ดีด้วย เนื่องจากพืชบางชนิดมีแคลเซี่ยมสูงแต่ก็มี สารไฟเตท และออกซาเลทมาก ที่ไปขัดขวางการดูดซึม เช่น ผักขม

5. ผลการศึกษาพบว่า ถั่วพู ใบตำลึง เป็นพืชทีมีสารขัดขวางต่ำ จึงทำให้การดูดซึมแคลเซียมได้สูง ดัง นั้นกินถั่วพูแล้วร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซี่ยมไปใช้ได้ 39.1% – 51.9 % และใบตำลึง ดูดซึมได้ 47.6 % – 58.5 %เมื่อเปรียบเทียบกับการดูดซึมแคลเซียมจากนมวัวในหญิงไทยอายุ 29.5 + 6 ปี มีค่าอยู่ที่ 55.2 + 11.9 % แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่นิยมการดื่มนมหรือดื่มนมไม่ได้เพราะร่างกายไม่ย่อยทำให้ท้อง อืดนั้น ควรหันมาเลือกกินถั่วพูและใบตำลึงมากๆ แม้การดูดซึมจะไม่มากเท่า แต่ก็เป็นรองเล็กน้อย ยังถือ ว่าอยู่ในเกณฑ์สูงทีเดียว

ผักใบเขียว

1. จากงานวิจัยในผักที่มีแคลเซียมสูง เช่น ผักตระกูลกะหล่ำหลายชนิด ได้แก่ คะน้า เทียบกับผักยอด นิยมของคนตะวันตก คือ ผักโขมฝรั่ง พบว่าร่างกายนำแคลเซียมจากตระกูลผักคะน้าทั้งหลายไปใช้ได้ เทียบเท่ากับนม ขณะที่แคลเซียมจากผักโขมฝรั่ง ใช้ได้น้อยกว่านม 9 เท่า ผักตระกูลกะหล่ำที่นิยมกินใน ประเทศไทย เช่น คะน้า กวางตุ้ง รวมถึงผักกาดจอของภาคเหนือ นับเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม สำหรับคนที่ไม่ดื่มนม

2. ในผักหลายชนิดมีการสร้างสารออกซาเลต ซึ่งสามารถจับกับแคลเซียมทำให้ไม่สามารถถูกดูดซึมได้ดี เท่าที่ควร สาเหตุหลักที่ทำให้พบความแตกต่างระหว่างผักคะน้าและผักโขมฝรั่งในงานวิจัย ดังกล่าว คือ ในผักโขมมีสารออกซาเลตสูง แต่ในคะน้ามีสารออกซาเลตต่ำมาก

3. ศาสตราจารย์นายแพทย์อารี วัลยะเสวี และคณะ ทำการศึกษาวิจัยเรื่องนิ่วที่จังหวัดอุบลราชธานี พบ ว่าออกซาเลตเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากผักพื้นบ้านหลายชนิดของไทยมี ออกซาเลตสูง ประกอบกับการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ น้อยมากและดื่มน้ำน้อย ซึ่งก็เป็นสาเหตุสำคัญของการ พบการเกิดนิ่ว แม้ว่าในผักดังกล่าวจะมีแคลเซียมสูงด้วย นี่จึงเป็นจุดด้อยของผักบางชนิด

4. พืชผักที่มีแคลเซียมสูง เช่น ยอเถื่อน ชะพลู ยอบ้าน มะขามฝักสด ดอกงิ้วแดง ยอดกะเดา มะขาม เปียก ผักหวาน หน่อเหรียง ผลมะกอก มะแว้ง และขี้เหล็ก

5. ฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน ร้อยละ 85-90 อยู่ในสภาพของแคลเซียม ฟอสเฟตที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งทำให้ฟันและกระดูกแข็งแรง ส่วนร้อยละ 10-15 มีอยู่ทั่วไปในร่างกาย พืช ผักที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น ผักแพงพวย เขลียง ใบขี้เหล็ก เกสรดอกงิ้วแห้ง และมะแว้ง

6. ประเภทผักที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ กะหล่ำดอก กุ้ยช่าย กระถิน (ใบ) กระเทียม ขจร ขนุน (ดิบ) ขี้ เหล็ก แคฝรั่ง แครอทดอกมะขาม ดอกโสน ตำลึง ต้นหอมถั่วขี้หูด ถั่วแขก ถั่วงอกหัวโต ถั่วดำ ถั่วแปบ ( ฝักอ่อน) ถั่วฝักยาว ถั่วพู (ฝักอ่อน) ถั่วพู (ใบ) ถั่วแระ (ฝัก, เมล็ดอ่อน) น้ำเต้า นางกวัก (บอนจีน, ใบ) บวบหอม ใบกะเพรา ใบขนุน ใบขลู่ ใบชะพลู ใบทองหลาง ใบบัวบก ใบปอกะเจา ใบพริกขี้หนู ใบมันเทศ ใบมะกอก ใบมะระจีน ใบมะรุม ใบแมงลัก ใบยอ ใบย่านาง ใบสะระแหน่ ใบโหระพา ผักกระเฉด ผักเกากี ฉ้าย ผักกาดเขียว ผักกาดเขียวแห้ง ผักกาดเขียวเปรี้ยว ผักกาดแดง (บีท) ผักกาดน้ำ ผักกวางตุ้ง ผักกูด ผักโขม ผักคะน้า ผักชีฝรั่ง ผักชีลาว ผักชีล้อม ผักเบี้ย ผักปลัง ผักเป็ด ผักสะเดา ผักหวาน พริกไทยอ่อน ฟักเขียว ฟักทอง มะเขือเครือ มะเขือพวง มะรุม (ฝัก) สะตอ หน่อไม้ หัวผักกาดแห้ง เห็ดหูหนู หอมแขก หอมจีนกระเทียมจีนมะขามดิบมะขามหวานมะเดื่อมะตูมมะนาว

เต้าหู้

1. เต้าหู้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งและเป็นแหล่งที่ดีของแคลเซียม เต้าหู้ทำจากถั่วเหลือง ถั่วเหลืองมี แคลเซียมสูงก็จริง แต่น้ำที่สกัดถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้มีแคลเซียมน้อย แคลเซียมส่วนใหญ่อยู่ในกาก ใน กระบวนการทำเต้าหู้ต้องมีการใส่แคลเซียมหรือแมกนีเซียมลงไปเพื่อตกตะกอนเป็น เต้าหู้ ดังนั้น แคลเซียมที่อยู่ในเต้าหู้จึงเป็นสารประกอบแคลเซียมที่ได้จากการใส่ลงไป ซึ่งมีการศึกษาแล้วว่าสามารถ ใช้ประโยชน์ได้ดีในระดับหนึ่ง

2. ถั่วเหลืองยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีสารที่คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเชื่อว่าเป็น ประโยชน์ต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันไม่มีไขมันที่เป็นอันตราย

แคลเซียมและออกซาเลต

จากการศึกษาผักหลายชนิดที่น่าจะใช้เป็นแหล่งแคลเซียมและนิยมกินกันอยู่ ทั่วไปในหลายภูมิภาคของ ไทย โดยนำมาวิเคราะห์หาแคลเซียมและออกซาเลต พบว่าหลายชนิดมีแคลเซียมสูง ขณะเดียวกันก็มี ออกซาเลตสูงด้วย อาจนำมาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่ม 1 ผักที่มีแคลเซียมสูงและออกซาเลตสูงด้วย เช่น ใบยอ ชะพลู โขม (ขม) ไทย มะเขือพวง ยอดกระถิน กลุ่ม 2 ผักที่มีแคลเซียมสูงและออกซาเลตปานกลาง เช่น กะเพรา กระเฉด ยอดแค ผักบุ้งจีน สะเดา กลุ่ม 3 ผักที่มีแคลเซียมปานกลางถึงสูงแต่ออกซาเลตต่ำ ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง ขี้เหล็ก ตำลึง บัวบก ถั่วพู ดังนั้น กลุ่มผักที่ร่างกายสามารถนำแคลเซียมไปใช้ประโยชน์ได้ดี จึงน่าจะเป็นกลุ่มที่ 3 โดยอาจใช้ทด แทนในกรณีของผู้ที่ไม่สามารถดื่มนมได้

วิตามินดี

1. ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองจากแสงยูวีที่มากระตุ้นสารชนิด หนึ่งคล้ายโคเลสเตอรอลที่ ผิวหนังแล้วเปลี่ยนเป็นวิตามินดี แล้วร่างกายจึงนำวิตามินดีไปใช้ประโยชน์ ประเทศที่มีแสงแดดตลอดปี อย่างประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศ ส่วนใหญ่ได้วิตามินดีจากแสงแดดมากกว่าจากอาหาร แหล่ง อาหารที่มีวิตามินดี คือ ตับ น้ำมันตับปลา ปลาที่มีไขมันสูง จะเห็นว่าข้อจำกัดของวิตามินดีจากอาหารมี มากกว่าแคลเซียม

2. ประเทศที่ไม่มีแสงแดดตลอดปี จึงต้องมีการเสริมวิตามินดีลงในอาหารหลายชนิดโดยเฉพาะนม เพื่อ ป้องกันภาวะพร่องวิตามินดีที่อาจมีผลเสียต่อกระดูก หรือทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน

3. การใช้ครีมกันแดดทำให้การสร้างวิตามินดีลดลง ทุกคนควรได้รับแสงแดดพอเพียง ที่สำคัญต้องเลือก เวลาให้ถูกต้อง เช่น แสงแดดตอนเช้า ที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง ประมาณวันละ 10-15 นาที ขณะ เดียวกัน ถ้าออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยก็ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น

4. การที่บำรุงแต่แคลเซียม แต่เกิดภาวะพร่องวิตามินดี แคลเซียมที่กินเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าได้ รับวิตามินดีมากเกิน เช่น จากการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจจะสะสมในร่างกายและทำให้เกิดอันตราย ได้ เนื่องจากวิตามินดีที่ได้มากเกินจะทำให้แคลเซียมในกระดูกถูกสลายออกมามาก และแคลเซียมที่ สลายออกมาจะไปสะสมตามเนื้อเยื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม การได้รับวิตามินดีจากอาหารหรือโดยการ สังเคราะห์ตามธรรมชาติดีที่สุด และจะไม่เกิดภาวะวิตามินดีเกินในร่างกาย หรือวิตามินดีเป็นพิษอย่างเด็ด ขาด


จาก อัลบั้มbangkokhealth.com
แคลเซียมรสเลิศ

1. จากผลการวิจัยเรื่อง "โครงการพัฒนาตำรับอาหารไทยที่มีแคลเซียมสูง" โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนโดยเครือข่ายวิจัยสุขภาพ สกว. โดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สำนักงาน กองทุนสนับสนุนการวิจัย ที่ศึกษาและรวบรวมแหล่งและชนิดของอาหารที่มีแคลเซียมสูงที่ได้รับความ นิยมในแต่ละท้องถิ่นทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อคัดเลือกเป็นตำรับอาหารไทยแคลเซียมสูงที่เหมาะสม ตลอดจนมีคุณค่าทางโภชนาการอื่นๆต่อสุขภาพนั้น พบว่าวิถีชีวิตคนไทยส่วนใหญ่ที่อาศัยในภูมิภาคต่างๆ ยังมีรูปแบบการกินอาหารแบบท้องถิ่นค่อนข้างมาก

2. แต่ละท้องถิ่นมีแหล่งแคลเซียมมาก ส่วนใหญ่ได้มาจากสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น กุ้ง และปลา ทั้งในรูป แบบของการกินทันทีและแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นกุ้งฝอย กุ้งแห้ง กุ้งแก้ว ปลาซิว ปลาแห้ง ปลากรอบ ปลา ป่นสำเร็จรูป รวมถึงกบเขียดแห้งและสด

3. การเติมแหล่งแคลเซียม "กุ้งแก้ว" ลงไปในตำรับอาหารไทยอย่างผัดพริกขิงหมู ยำวุ้นเส้น ยำถั่วพู น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกมะม่วง หลนเต้าเจี้ยว ผัดหมี่ชาวเหนือ น้ำชุบหยำ และผัดเผ็ดหน่อเหรียงกับหมู ปริมาณแคลเซียมจะเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่ทำลายความอร่อยทั้งรสชาติและกลิ่นของ อาหาร

4. สามารถนำแหล่งแคลเซียมราคาประหยัดเหล่านั้นมาทำเป็นเครื่องเคียง เช่น ปลาขาว ปลาดำ นำมา ย่างไฟอ่อนหรือทอดในน้ำมันแล้วกินเป็นเครื่องเคียงกับแกงเขียวหวาน แกงส้ม และนำมาทำเป็นส่วน ประกอบหลักของอาหารประเภทยำก็ได้ หรือไม่ก็นำมาแทนเนื้อสัตว์โดยตรง โดยใช้ลักษณะทั้งตัวหรือป่น เช่น แกงส้มปลาช่อน ก็ใช้ปลากรอบทั้งตัวหรือป่นก่อนมาแกงก็ได้ รวมถึงนำปลากรอบมาทำเป็นต้มยำ แทนเนื้อไก่ก็คงความอร่อยได้เช่นกัน

สวนครัวรั้วแคลเซียม

1. แหล่งอาหารแคลเซียมอย่างพืชผักท้องถิ่นของไทย โดยเฉพาะถั่วพูและตำลึงยังน่าสนใจยิ่ง เพราะไม่ เพียงราคาประหยัด หากยังมีปริมาณแคลเซียมสูงต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ดังผลการศึกษาชีวประสิทธิผล ของแคลเซียมในอาหารไทยบางชนิด โดยสถาบันวิจัยโภชนาการและคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรา มาธิบดี ภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายวิจัยเดียวกัน พบว่าทั้งถั่วพูและตำลึงมีสารแคลเซียมที่ร่างกาย สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้มาก เนื่องจากมีสารออกซาเลตและไฟเตทที่เป็นสารต้านการใช้ ประโยชน์ของแคลเซียมและแร่ธาตุต่างๆ น้อย

2. ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมในถั่วพูและตำลึงไปใช้ประโยชน์ได้ไม่ด้อย กว่าในนมที่ถือเป็นแหล่ง แคลเซียมที่ดีที่สุด เพราะในเพศหญิงอายุ 20-45 ปี จะดูดซึมแคลเซียมจากนมไปใช้ประโยชน์ได้เฉลี่ย ร้อยละ 55.2 ขณะที่การดูดซึมแคลเซียมจากตำลึงและถั่วพูจะมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 47.6 และ 39.1 ตาม ลำดับ

3. นอกจากนมที่คนไทยน่าจะดูดซึมแคลเซียมไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าชาวตะวันตก ที่ดื่มนมเป็นประจำ แล้ว ถั่วพูและตำลึงยังเป็นพืชผักท้องถิ่นแคลเซียมสูง ปลอดภัย สะดวก และสามารถประยุกต์ปรุงอาหาร ได้หลากหลายตำรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถดื่มนมได้ แต่ต้องการแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อจะได้ไม่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนในช่วงวัยทองของชีวิต ที่ไม่ได้จำกัด อยู่แค่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเท่านั้น



ที่มา: BangkokHealth
Ref: ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

ร้านอาหาร: เตี๋ยวเป็ดบ๊วยโภชนา

เตี๋ยวเป็ดบ๊วยโภชนา

ร้านนี้เนื้อเป็ด นุ่ม น้ำซุปอร่อย สมกับเป็นก๋วยเตี๋ยวเป็ดเก่าแก่ในย่านถนนบรรทัดทอง นอกจากก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่ขึ้นแล้ว ยังมีเมนูเกี่ยวกับเป็ด อาทิ เกาเหลาเป็ด ลิ้นเป็ดตุ๋น ปีกเป็ดตุ๋นหม้อดิน ปากเป็ดตุ๋น และเครื่องในเป็ดรสชาติดั้งเดิมให้บริการอีกด้วย

“ร้านบ๊วยโภชนา” ตั้งอยู่ริมถนนบรรทัดทอง ปากซอยจุฬา 36 เจ้าของร้านจะใช้เป็ดพันธุ์โป๊ยฉ่าย เพราะตัวใหญ่และมีเนื้อมาก ร้านก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาทำก๋วยเตี๋ยว ขั้นแรกนำเป็ดมาตุ๋นพร้อมเครื่องเทศ เมื่อสุกพอดีจึงนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ

ที่แปลกกว่านั้นคือน้ำซุปไม่ใช้กระดูกเป็ด แต่ใช้กระดูกหมูตรงสันหลังหรือเล้งต้มกับเครื่องเทศ ทำให้น้ำซุปเข้มข้น

ก๋วยเตี๋ยวมีให้เลือกทั้งเส้นหมี่และเส้นเล็ก ซึ่งเส้นหมี่นั้นเด็กและคนสูงอายุจะชอบทาน ส่วนเส้นเล็กเหมาะกับลูกค้าทั่วไป

เนื่องจากมีลูกค้ามาก ร้านบ๊วยโภชนาจึงเปิดสาขา 2 ที่ถนนพระราม 4 เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องเดินทางไกลและไม่ต้องผจญกับปัญหารถติด โดยสาขา 2 นี้ให้ลูกชายบริหาร บรรยากาศภายในร้านดีและตกแต่งสวยงาม

อย่างไรก็ตาม เกาเหลาเป็ดเป็นอีกเมนูที่ขายดี เพราะใส่ถั่วงอกและพริกไทยเพิ่มความอร่อย นอกจากนี้จะใส่ทั้งเครื่องในและเนื้อเป็ด หรือถ้าไม่ชอบเครื่องในจะใส่เนื้อเป็นอย่างเดียวก็ได้ เพราะร้านนี้ตามใจลูกค้าเสมอ

ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่มายาวจนถึงวันนี้แน่นอน

ร้านบ๊วยโภชนา : ตั้งอยู่เลขที่ 2001/1 ถนนบรรทัดทอง (ปากซอยจุฬา 36) แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 เปิดขายเวลา 07.00-17.00 น. ก๋วยเตี๋ยวเป็ดชามละ 30 บาท พิเศษ 35 บาท โทร.0-2215-2075, 08-9769-7742 และ 08-5065-7331

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 282 วันที่ 23 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553 หน้า 30 คอลัมน์ เตี๋ยวเด็ดเจ็ดย่านน้ำ โดย นายเส้นหมี่

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ต้นกำเนิด ข้าวผัดอเมริกัน

จาก Sanook.com

ต้นกำเนิด ข้าวผัดอเมริกัน

คุณหญิงสุรีพันธ์ มณีวัต (เจ้าของนามปากกา "นิตยา นาฏยะสุนทร" ภรรยา นายวิลาศ มณีวัต บรรณาธิการ นสพ.ชาวกรุง คนแรก) เคยให้สัมภาษณ์หนังสือสกุลไทย เกี่ยวกับต้นกำเนิดของ "ข้าวผัดอเมริกัน" ว่าเป็นอาหารที่คุณหญิงสุรีพันธ์ได้ประยุกต์ขึ้นเอง ขณะทำงานเป็น ผู้จัดการราชธานีภัตตาคาร ซึ่งเป็น แอร์พอร์ตเรสตัวรองต์ ของกรมรถไฟ ใน สนามบินดอนเมือง โดยที่มีสายการบินแห่งหนึ่งสั่งจองอาหารเช้า และอาหารกลางวันไว้แต่ยกเลิกเที่ยวบิน ทำให้อาหารเช้าแบบอเมริกันที่เตรียมไว้ เช่น ไข่ดาว ไส้กรอก เหลืออยู่จำนวนมาก คุณหญิงสุรีพันธ์ ได้นำข้าวผัดที่มีอยู่มาประกอบกับอาหารเช้าแบบอเมริกันดังกล่าวเพื่อรับ ประทาน นายทหารอากาศไทยที่เห็นเข้าได้สั่งรับประทานด้วย เมื่อทหารอเมริกันมาเห็นและถามถึงชื่อข้าวผัดดังกล่าว คุณหญิงสุรีพันธ์ ได้ตั้งชื่อว่า "อเมริกัน ฟรายด์ ไรซ์" หรือ "ข้าวผัดอเมริกัน" ซึ่ง พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหารอากาศในขณะนั้นได้ทราบแล้วชอบชื่อนี้มาก

ข้าวผัดอเมริกันขณะนั้นมีส่วนประกอบไม่แน่นอน บางวันส่วนประกอบก็เปลี่ยนจากไส้กรอกหรือไก่อบเป็นเนื้อทอด แล้วแต่ว่าในครัวจะเหลืออะไร เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขณะคุณหญิงสุริพันธ์แต่งงานและมีลูกแล้ว จึงเป็นเหตุการณ์หลังวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2492 ซึ่งเป็นวันที่คุณหญิงแต่งงาน แม้ยังไม่พบข้อมูลแน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใด แต่น่าจะเกิดก่อนปี พ.ศ. 2497 ที่คุณหญิงสุรีพันธ์ลาออกจาก ราชธานีภัตตาคาร ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม อีกกระแสข่าวหนึ่งระบุว่า ข้าวผัดอเมริกัน เกิดจาก พ่อครัวชื่อ "โกเจ๊ก" คิดค้นขึ้นเพื่อให้บริการทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ในช่วงที่ไทยยังเป็นที่ตั้งฐานทัพอเมริกาใน สงครามเวียดนาม และต่อมาได้รับความนิยมจนเผยแพร่ไปทั่วประเทศ หากเหตุการณ์นี้เป็นจริงในช่วงสงครามเวียดนาม จะเกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2518

ที่มา : sanook.com
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : http://kungsss.exteen.com/20091210/entry-1
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : http://www.bloggang.com/ โดยคุณ asita

ร้านอาหาร: Sugar Lust

จาก Sanook.com

ร้านอาหาร: Sugar Lust

หลีกตัวกับความแออัดของสังคมเมือง แล้วซุกตัวในบ้านสองชั้นแสนอบอุ่นที่เป็นที่ตั้งของร้าน Sugar Lust ร้านอาหารสไตล์ใหม่ ที่จะมาเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับคุณ เหมือนได้แวะมาบ้านเพื่อนสนิท บ้านสองชั้นที่ถูกตกแต่งให้เป็นร้านอาหารที่มีกลิ่นหอมของกาแฟคอยยิ้มต้อนรับ...

จาก Sanook.com

...บริเวณชั้นล่างถูกดัดแปลงเล็กน้อยด้วยมุมต่างๆ กับเฟอร์นิเจอร์ที่หลากหลาย ให้คุณได้นั่งจับจองอย่างเป็นส่วนตัว ทุกอย่างที่วางไว้ในบริเวณโต๊ะสามารถหยิบจับได้เสมือนอยู่ในบ้านของคุณ กีตาร์ตัวโปรดของเจ้าของร้านหลายครั้งถูกลูกค้านำมาดีดขับกล่อมกันอย่างสนุกสนาน หรือจะเป็นมุมวิดีโอเกมที่เปิดโอกาสให้แขกทุกคนมานั่งกันอย่างเพลิดเพลิน ได้อรรถรสเหมือนมาหาเพื่อนที่บ้านจริงๆ


ในช่วงเช้า ภายในร้านจะถูกปกคลุมด้วยกลิ่นกาแฟที่ทางร้านบรรจงเลือก เมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่มีราคาแพงแต่ให้รสชาติเข้มข้น ซึ่งแตกต่างจากร้านอื่นที่ผสมเมล็ดกาแฟชนิดอื่นลงไปเพื่อลดต้นทุน แถมยังส่งผลต่อรสชาติกาแฟทำให้มีรสออกเปรี้ยว กาแฟของที่ร้านจึงถูกกล่าวถึงรสชาติที่หอมกรุ่นซึ่งมีแบบฉบับเหมือนกับร้านกาแฟชื่อดังอย่างไม่ผิดเพี้ยน โดยกาแฟที่เป็นสูตรเด็ดของทางร้านมีชื่อว่า Sugar Lust Coffee ที่เสิร์ฟคู่กับคาราเมล เป็นลูกเล่นให้ลูกค้าได้เติมความหวานหอมด้วยตัวเอง รสชาติความเข้มข้นของกาแฟตัดกับความหวานหอมของคาราเมลสูตรพิเศษของทางร้าน มันช่างนุ่มละมุน


จาก Sanook.com
Sugar Lust Coffee ราคา 85 บาท

...ต่อด้วยเมนูเบเกอรี่ทีเด็ดที่ทางร้านตั้งชื่อว่า One Bite Set อร่อยกับเบเกอรี่ที่แสนโปรดปรานกับชิ้นพอดีคำ โดยในหนึ่งเซ็ตจะเลือกอร่อยกับเค้กชิ้นพอดีคำ 3 ชนิด ได้แก่ Banana Cake, Lemon Poppy Seed และ Chocolate Cake เค้กเหล่านี้ถือเป็นที่นิยมของสาวๆ ออฟฟิศ ทางร้านจึงทำชิ้นพอดีคำออกมาตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการทานเค้กหลายๆ ชนิด


จาก Sanook.com
One Bite Set ราคา 50 บาท

ในช่วงบ่าย ทางร้านก็มีเมนูที่อิ่มท้องพร้อมทานคอยต้อนรับทุกคน กับเมนูที่ลองผิดลองถูกจนกลายเป็นจานเด็ด คือเมนู Dried chillies and Bacon Pasta พาสต้าเส้นนุ่มผัดกับพริกแห้งและเครื่องเทศต่างๆ ก่อนปิดท้ายด้วยการโรยเบคอนชิ้นพอดีคำ อร่อยแบบสไตล์ผสมผสาน และต่อด้วยเมนู Deep-Fried Prawns with Sugar Lust Dip กุ้งทอดตัวโตๆ ที่ใช้เทคนิคการทอดแบบเดียวกับกุ้งทอดเทมปุระ ที่ทอดจนแป้งเหลืองกรอบแล้วนำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟคู่กับซอสสูตรพิเศษของทางร้านที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว มันช่างเลิศรสเหลือเกิน ยิ่งทานยิ่งเพลิดเพลิน


จาก Sanook.com
Dried chillies and Bacon Pasta ราคา 120 บาท

ทิ้งท้ายด้วยช่วงเย็นถึงค่ำกับเมนูเอาใจสาวกปาร์ตี้ ในบรรยากาศแดดร่มลมตก และมีเสียงดนตรีฟังสบายคอยขับกล่อม พร้อมด้วยเมนูกับแกล้มแบบไทยๆ มากมายมาเรียงรายต้อนรับคุณ เพราะอย่างนี้นี่เองที่ใครต่อใครถึงอยากจะแวะไปเยี่ยมบ้านของเพื่อนที่มีชื่อว่า Sugar Lust หลังนี้


การเดินทาง : เข้าซอยสุขุมวิท 26 ตรงไปเรื่อยๆ สังเกตซอยทางซ้ายชื่อซอยท่านหญิงพวงฯ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอย วิ่งตรงไปตามทางสักพัก ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ อยู่ติดกับโรงเรียนอนุบาล
ที่ตั้ง : 59/27 ซอยสุขุมวิท 26 ถนนสุขุมวิท คลองตัน คลองเตย กทม.
เปิดบริการ : 10.00 - 24.00 น.
ติดต่อสอบถามได้ที่ : โทร.084 011 4115 หรือ www.sugarlustcafe.com

ขอบคุณที่มาเรื่อง : คณิน เป้าคำศรี / ภาพ : สุตสาย สังหาร

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มากิน ′ช็อกโกแลต′ กันดีกว่า




มากิน ′ช็อกโกแลต′ กันดีกว่า


คุณรู้ไหมว่าดาร์กช็อกโกแลตดีต่อสุขภาพ สามารถมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าลูกพลัมถึง 4 เท่า หรือ กะหล่ำดาว

ผลวิจัยพบว่าช็อกโกแลตที่มีประโยชน์ของต่อสุขภาพต้องมีโกโก้ 70 เปอร์เซ็นต์หรือสูงกว่า


หัวใจ

ผลวิจัยของมหาวิทยาลัย เอเบอร์ดีน แสดงให้เห็นว่าสารฟลาโวนอยด์และสารต้านอนุมูลอิระจากในช็อกโกแลตที่มีโกโก้ แมสสูง ป้องกันการกระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือดซึ่งนำไปสู้ปัญหาเรื่องโรคหัวใจ

การศึกษาในดรูเซลดอฟและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แสดงให้เห็นว่าการบริโภคฟลาโวนอยด์จะช่วยฟื้นฟูความเสียหายของหลอดเลือดแดง จากการสูบบุหรี่
และล่าสุดศาสตราจารย์ คาร์ล คีน จากมหาวิทยาลัยแคลลิฟอเนีย รายงานว่าการรับประทานช็อคโกแลตในปริมาณเล็กน้อย สามารถช่วยละลายลิ่มเลือดในสมองเหมือนการรับประทานยาแอสไพริน


สมอง
ช็อกโกแลตมีแร่ธาตุแมกนีเซียมอยู่มากและเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสมอง ข้อมูลจากวารสารอาหารทางการแพทย์

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอลเนล ในนิวยอร์ก พบว่า มีสารต้านอนุมูอิสระที่เรียกว่า อีพิคาเทชิน ที่ช่วยปกกันโรคสมองเสื่อมได้
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยวีลิ่ง จีซัส ทางเวอร์จิเนียตะวันออก บอกว่าช็อกโกแลตช่วยเพิ่มความจำ และเพิ่มสมาธิในการตอบสนองรวมถึงทักษะในการแก้ปัญหาโดยช่วยให้เลือดไหลเวียน ไปยังสมองสะดวก


ภูมิคุ้มกัน
การศึกษาของ ญี่ปุ่นที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารมะเร็งแห่งอังกฤษพบว่ามีสารฟีนอล ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในช็อกโกแลต ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และรายงานในปี 2009 โดยสมาคมวิจัยโรคมะเร็งแห่งฮาวาย พบว่ามีส่วนผสมของสารไซยานิดินโดยมีผลเหมือนที่ศึกษาในสัตว์


ช่วยควบคุมความเครียด
เมื่อ กินดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 40 กรัมทุกวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะลดฮอร์โมนความเครียดลงทำให้บรรเทาความกังวล ผลรายงานของวารสารสมาคมเคมีของอเมริกา


ชีวิตยืนยาว
จากการศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์เกือบ 8,000 คน มากกว่า 18 ปีพบว่าผู้ที่รับประทานช็อกโกแลตจะมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่รับทาน ช็อกโกแลต ข่าวร้ายคือพวกเขาเป็นผู้ชาย ประโยชน์บางอย่างของช็อคโกแลตมีประสิทธิผลในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สำหรับเหตุผลนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไม


สรุปว่าช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน


Ref: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update:วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09:23:45 น.)

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อาหารจากพืช : เห็ดโคน

จาก ข่าวสดรายวัน


ขอประทานโทษ 'คอเห็ด (โคน)' ทั้งหลาย ที่เพิ่งจะมาเขียนถึงอาหารสวรรค์ชั้นฟ้าชนิดนี้เอาเมื่อตลาดวาย

ช่วงที่ผ่านมามัวแต่เพลินกินอยู่ครับ กว่าจะนึกออกก็เข้าช่วงเห็ดโคนซา

แต่หวังว่าถ้าโชคดี ปีนี้ฝนลากไปอีกหน่อย เอาแบบไม่ต้องตกกระหน่ำ แค่พรำลงมาสักหนสองหน อาจจะมีเห็ดโคนผุดขึ้นมาอีกระลอกเป็น การส่งท้ายจริงๆ

ส่วนท่านใดจะโชคดี (และใจถึง-มีสตางค์ไปซื้อ) หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะในฐานะผู้รักการบริโภคเห็ดโคนทุกรูปแบบ ขอยืนยันว่าชาติหนึ่งเกิดมาแล้วต้องหาทางรับประทาน เห็ดโคนให้ได้

และถ้ารักจริงควรจะต้องดั้นด้นขวนขวายหากินกันทุกปี

จาก ข่าวสดรายวัน

เพราะนี่คือเห็ดชนิดเดียวที่มนุษย์เพาะไม่ได้ ต้องให้ปลวกช่วยทำแทน และปีหนึ่งจะออกอยู่ไม่กี่วัน คือช่วงปลายฝนจะเข้าต้นหนาว

าคาของเจ้าหล่อนถึงได้อยู่ที่กิโลกรัมละ 300-400-500 ไปจนถึง 600 หรือ 700 ได้ นี่ถ้าหักน้ำหนักดินที่ติดอยู่กับเห็ดซึ่งมีผู้คำนวณว่าประมาณ 1 ใน 3 ออกไปแล้ว ราคา จริงจะสูงกว่านี้อีก

แต่ถ้าไปหาเก็บเองได้ก็แล้วไป หรือถ้ามีสตางค์มีกำลังอุดหนุนก็ซื้อไปเถอะครับ คนเก็บมาขายจะได้มีกำลังใจ ปีละหน หนละไม่กี่วันเท่านั้นเอง

ไม่มีอะไรอีกแล้วที่กรอบ-หวาน-ชื่นใจ เปรียบไม่ได้ บรรยายไม่ถูก ทำอะไรกินก็อร่อยทั้งนั้น เผา ย่าง ต้มกับน้ำปลาเฉยๆ ต้มยำ ยำ และอีกสารพัดที่จะคิดได้

จาก ข่าวสดรายวัน

ขอว่าอย่าปรุงมาก จนอย่างอื่นมากลบรสและกลิ่นวิเศษของเห็ดโคนเองเท่านั้น แต่จะกินของอร่อยต้องใจเย็นๆ เห็ดโคนของแท้ต้องมีดินพอกติดมาด้วย

สมัยเป็นเด็ก 'ย่าใหญ่' พี่สาวของปู่จะแบกกระสอบ (กระสอบจริงๆ ครับสาบานได้) เห็ดโคนขึ้นรถเมล์มาจากราชบุรี ในฐานะหลานคนโตสุดของบ้าน งานที่ได้รับมอบหมายจากย่าคือเอาไม้ไผ่เหลาบางมาค่อยๆ ฝานค่อยๆ ปาดดินออก

จากนั้นรุ่นอาๆ ทั้งหลายจะเอาเห็ดโคนไปล้างน้ำอย่างละมุนมือ คือใส่น้ำลงไปให้ท่วมเห็ด แล้วค่อยๆ เอามือลงไปสั่นๆ ไล้ๆ ให้ดินที่เหลือค่อยๆ หลุดออกมา

แล้วค่อยๆ ประคองกอบเห็ดจากในน้ำขึ้นมาใส่น้ำใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ประมาณ 7-8 น้ำเป็นอย่างต่ำ บางหนก็ถึง 10 รอบ จนรู้สึกว่าสะอาดดี

คราวนี้จะเอาเห็ดไปทำอะไรล่ะ

ห่อใบตองเผาเตาถ่านก็หอมไปแบบหนึ่ง ย่างบนตะแกรงเตาถ่านอีกเหมือนกันก็ได้อีกอารมณ์ แต่ปีนี้ที่บ้านคับแคบ เตาถ่านไม่มี คุณแม่ยายเลือกวิธีเบสิกที่สุดคือต้มกับน้ำปลาพอปะแล่มๆ

จากนั้นก็ตามสะดวก

ตักกินเปล่าๆ ซดน้ำหอมหวานชื่นใจ หรือเอาไปราดข้าว มีน้ำปลาพริกแถมอีกนิด ที่ฮิตสุดคือยำกับพริกขี้หนูสวนเผ็ดจี๊ดแต่กลิ่นหอมนวล ข้าวหมดหม้อหมดกะละมังไม่รู้ตัว


Ref: ข่าวสดรายวัน หน้า 21 (update วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7267)
ชื่อบทความ: เห็ดโคน คอลัมน์ สวรรค์ในครัว
ผู้เขียนบทความ: เขียง มะขาม

ร้านอาหาร: ก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีก'ป้าแป๊ะ' หนึ่งใน'อร่อยเด็ด77จังหวัด'

จาก ข่าวสดรายวัน


ก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีก'ป้าแป๊ะ' หนึ่งใน'อร่อยเด็ด77จังหวัด'
คอลัมน์ อิ่มอร่อย


เป็นร้านที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ "อร่อยเด็ด 77 จังหวัด" ก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกป้าแป๊ะ อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรี อยุธยา

วันเปิดตัวหนังสือเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่อาคารข่าวสด นาง พิศมัย เกษมสินธุ์ ลูกสาวของป้าแป๊ะ สำเริง แซ่ตั้ง ผู้รับช่วงดูแลกิจการร้าน มาปรุงโชว์ด้วยตนเอง

ทายาทป้าแป๊ะ กล่าวว่า แม่ขายก๋วยเตี๋ยวมาแล้วถึง 53 ปี ยุคแรกพายเรือขาย ต่อมาจึงย้ายมาเปิดเป็นร้าน ขณะนี้มี 2 สาขา คือที่สะพานปรีดี และที่ตำบลเจ้าเจ็ด อ.เสนา ขณะนี้คุณแม่ไม่ค่อยสบาย เป็นโรคกระดูกยุบตัว จึงให้ลูกๆ สานต่อกิจการ

เมื่อแวะเวียนไปที่ร้าน ตำบลเจ้าเจ็ด นอกจากจะพบลูกสาวป้าแป๊ะแล้ว ยังเจอ ลุงฮวด แพรเขียว คู่ชีวิตป้าแป๊ะ ทำหน้าที่แทน

ลุง ฮวดกล่าวว่า สมัยที่พายเรือขายมาด้วยกันตามคลองเจ้าเจ็ดตั้งแต่ชามละ 50 สตางค์ ถึง 1 บาท จนหมดเรือไปถึง 4 ลำ กระทั่งยกเรือขึ้นมาบนบกขายที่หน้าบ้านในตำบลเจ้าเจ็ด มากว่า 20 ปี ได้ถ่ายทอดวิชาสู่รุ่นลูกทั้ง 6 คน บางคนนำไปเปิดสาขาอยู่หลายแห่ง ที่เหลือลูกสาวคนสุดท้องได้ช่วยขายที่บ้าน เพราะต้องการตอบแทนลูกค้า ซึ่งส่วนมากเมื่อมาถึงอำเภอเสนา จะถามหาก๋วยเตี๋ยวป้าแป๊ะอยู่เสมอ

จาก ข่าวสดรายวัน

ลุงฮวด เล่าต่อว่า ก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีก รสชาติจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่ที่น้ำต้ม ตัวไก่ เนื้อต้องเหนียวแน่นและเครื่องปรุง

สำหรับ น้ำต้มจะตั้งหม้อต้มตั้งแต่ตี 4 โดยใช้เตาถ่านหุงต้มเพื่อให้ไก่สุกทั่วทั้งตัว หลังตั้งหม้อแล้ว ต้มไก่สดทั้งตัวประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อตักไก่ออก ก็ต้มไก่ชุดใหม่ต่อ ทำอย่างนี้ต่อไปจนต้มไก่เสร็จ เมื่อมันไก่ลอย จึงตักมันไก่ออกให้หมด น้ำต้มจะมีความหวานจากกระดูกไก่ใช้เป็นน้ำก๋วยเตี๋ยวได้เลย

จาก ข่าวสดรายวัน
ไก่ทางร้านจะซื้อจากเล้าโดยตรง เป็นไก่ที่เลิกไข่แล้ว เนื้อไก่จะเหนียวหลังต้มจะฉีกง่าย

ส่วน เครื่องปรุง มีพริกป่น น้ำส้มผสมพริกขี้หนูสด น้ำปลา โดยเฉพาะถั่วลิสงบดจะต้องอบถั่วแล้วจึงจะไปคั่วอีกครั้ง ปกติใช้ถั่ววันละ 4 กิโลกรัม ส่วนกระเทียมเจียวจะใช้จากน้ำมันไก่ที่ลอยตัวในน้ำต้มไก่ กลิ่นจะหอมกว่าเจียวในน้ำมันพืช

ก๋วยเตี๋ยวป้าแป๊ะถ้าเป็นต้มยำรส ชาติจะเผ็ดเปรี้ยวนำ ต้มจืดจะรสชาติกลมกล่อมน้ำต้มหอมหวาน ถ้าก๋วยเตี๋ยวแห้ง เนื้อไก่นุ่มหวาน เฉลี่ยขายได้วันละกว่า 500 ชาม ถ้าเป็นวันหยุดลูกค้าจะเพิ่มขึ้นใช้ไก่วันละ 10-15 ตัว

ก๋วยเตี๋ยว ทุกวันนี้ยังขายในราคาชามละ 10 บาท มาหลายปีแล้ว ยังไม่ขึ้นราคาเพราะเห็นใจลูกค้าที่เป็นชาวบ้านและชุมชนมาอุดหนุน นอกจากนี้ยังมีลูกค้าบางคนมาไกลเสียค่าน้ำมันถ้าคิดแพงลูกค้าจะท้อ กำไรมีแต่ไม่มาก จะคงราคา 10 บาท ต่อไปนานๆ

แนะนำว่า ก๋วยเตี๋ยวป้าแป๊ะ "ชิมก่อนปรุง อย่าปรุงก่อนชิม"

ผู้ ที่จะเดินทางไปชิมก๋วยเตี๋ยวป้าแป๊ะถ้ามาจากกรุงเทพฯ ให้ใช้เส้นทางปทุมธานี-เสนา ถึงสี่แยกไฟแดงเสนาเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเสนา-สุพรรณบุรี วิ่งข้ามสะพานเสนาไปประมาณ 3 กิโลเมตร ให้สังเกตทางแยกขวามือเข้าเทศบาลตำบลเจ้าเจ็ด วิ่งผ่านเทศบาลไปเล็กน้อยแล้วเลี้ยวขวาจะถึงร้านป้าแป๊ะอยู่ซ้ายมือ

ถ้า เปิดกระจกรถวิ่ง จะได้กลิ่นหอมน้ำต้มไก่โชยมาเตะจมูก ร้านจะเปิดขายตั้งแต่ 07.00 น. เป็นต้นไป จนกว่าไก่จะหมดไม่มีวันหยุด สอบ ถามรายละเอียดได้ที่เบอร์ 08-9451-4730 ทางร้านรับงานนอกสถานที่ด้วย


ที่มา: ข่าวสดรายวัน หน้า 21 (update: วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7267)

ร้านอาหาร: นี่เลย ครับ บิสโทร เตาปูน...ชอบสปาเกตตี้ ต้องแวะมา

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นี่เลย ครับ บิสโทร เตาปูน...ชอบสปาเกตตี้ ต้องแวะมา

วันเสาร์ก่อน ผมเอารถเข้าซ่อมอู่แถวเตาปูน ระหว่างรอซ่อมครึ่งวัน เดินเล่นบนถนนกรุงเทพนนทบุรี ยืนดูคนงานตอกเสาตอท่อรถไฟฟ้าแล้วมึนหัว

นาฬิกาเดินเลยเที่ยงไปแล้ว ช่างก็ยังซ่อมไม่เสร็จเสียที ท้องเริ่มหิว จึงเดินหาร้านอาหารอร่อยๆ เดินไปบิ๊กซี งามวงศ์วาน สำรวจจนทั่วก็ไม่พบร้านที่ถูกใจ สักร้านเดียว จึงเดินลงไปเตาปูน

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ถึง สน.เตาปูน สายตาเหลือบไปฝั่งตรงข้าม เห็นร้าน เตาปูน บิสโทร มีเหลืองตัดสีเขียว ร้านโปร่ง ๆ ดี เดินข้ามสะพานลอย เปิดประตูเข้าไปในร้าน หามุมเหมาะแล้วสั่ง สปาเกตตี้ "ขี้เมา" และ ปีกไก่ทอด พร้อมเบียร์เย็นเป็นวุ้น

หยิบ " ฟ.ด.ก."เล่มใหม่ จากกระเป๋าเป้มาอ่าน ผมกิน ดื่ม อ่าน อย่างหิวกระหาย เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง จนช่างโทรมาตามว่า รถซ่อมเสร็จแล้ว

ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในจาน จานสปาเกตตี้เหลือแต่ฝาหอย จานปีกไก่ เหลือแต่กระดูก

ไม่รู้ว่า อะไรเผ็ดร้อนกว่ากันระหว่าง ฟ.ด.ก. หรือ เมนูอร่อยของ บิสโทร

เจ้าของร้านชื่อ คุณหน่อย เธอก็แสนดี เธอดูแลสำรับอาหารและบริการลูกค้าแบบเป็นกันเอง เพราะจำไม่ได้ว่า วันนั้น อะไรอร่อยกว่ากัน ระหว่างอาหารปากกับอาหารสมอง

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หลายวันถัดมา ผมชวนครอบครัว แวะมา"บิสโทร"อีกครั้ง ....เพื่อทดสอบลิ้นของตัวเอง คราวนี้ เราสั่งอาหารเต็มโต๊ะ ภริยาผมทานอาหารเจ กุ๊กคนเก่ง เธอก็ปรุงสปาเกตตี้เจ ให้ทานอย่างตั้งใจนำเสนอ

ผมสั่ง สปาเกตตี้ ขี้เมา ซ้ำอีกจาน เพราะชอบหอย คราวนี้ ตั้งใจกินจริงๆ ละเมียดทีละคำ ช้าๆ โดยเอาช้อนไปหาปาก ไม่ใช่เอาปากไปหาช้อน ตามคำแนะนำของคุณมีชัย วีระไวทยะ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
อร่อยมากครับ ลูก ๆ ของผม สั่งสปาเกตตี้ สเต๊กไก่ และยำแบบไทยๆ เกลี้ยงทุกจาน แต่ลูกๆ ของผมติงว่า ควรเพิ่มเมนูให้มีรายการมากกว่านี้อีกหน่อย

กวาดสายตาดูรอบ ๆ ร้านบิสโทร ใช้โทนสีเหลือง ตัดสีเขียว ดูสบายตา ห้องน้ำก็เก๋ดี มีกลิ่นหอม สะอาด ผมเชื่อว่า ถ้าคุณชอบอาหารฝรั่ง คุณต้องชอบร้านนี้ (ครับ) และถ้าคุณชอบ สีเหลือง กับ สีเขียว ก็น่าจะชอบร้านนี้

เมื่อก่อน ถ้าผมจะทานสปาเกตตี้ ผมจะแวะไปที่ ร้านสปาเกตตี้ ประชาชื่น ใกล้ ร้านไอซ์ แต่ตอนนี้ ผมมีทางเลือกใหม่แล้ว ที่ร้านบิสโทร เตาปูน ข้อดีของร้านนี้ก็คือ มีที่จอดรถอย่างดี(ครับ)

ร้านบิสโทร เตาปูน เลขที่ 1241/1 ถนนกรุงเทพนนทบุรี เบอร์โทรฯ 02 911 5898


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11:04:23 น.)

สารเคมีในขึ้นฉ่ายและพริกไทย ยับยั้งการเสียความทรงจำในวัยชรา

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

กินอย่างไร แก่แล้วจะได้ไม่ลืม

ผู้นิยมชื่นชอบรสชาติของผักขึ้นฉ่ายนั้นมีน้อย แต่นักวิทยาศาสตร์ให้เหตุผลว่าทำไมเราต้องกินมัน

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสารเคมีที่อยู่ในขึ้นฉ่ายและพริกไทย สามารถยับยั้งการเสียความทรงจำได้เมื่ออยู่ในวัยชรา

นักวิจัยของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ในขึ้นฉ่ายมีสารประกอบ ลูทิโอลิน ที่ลดการอักเสบของสมองซึ่งมีความสัมพันธ์กับปัญหาด้านความจำของผู้สูงวัย ช่วยกระตุ้นปลดปล่อยโมเลกุลที่ก็ให้เกิดการอักเสบ

ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยอิลินอยได้ศึกษาผลกระทบของสารลูทิโอลินในสมองและพฤติกรรมของหนูอายุ 3-6 เดือนและหนูที่มีอายุมากกว่าอายุสองปี

หนูที่มีอายุระหว่าง 2-3 ปีจะถูกควบคุมอาหารหรือให้อาหารเสริมลูทิโอลินเป็นเวลา 4 สัปดาห์

ตามปกติหนูที่มีอายุเพิ่มขึ้นจะมีระดับการอักเสบของสมองสูงขึ้นและมีค่าระดับการทดสอบหน่วยความจำแย่กว่าหนูที่อายุน้อยกว่า แต่ นักวิทยาศาสตร์เจ้าของผลวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการพบว่าหนูที่มี อายุมากกว่าที่ได้รับอาหารเสริมลูทิโอลินจะเรียนรู้และมีความจำที่ดีกว่าหนู ที่มีอายุเท่ากัน

ระดับการอักเสบของสมองสอดคล้องกับวัยของหนู

ศาสตราจารย์ ร็อดนี่ย์ จอห์นสัน ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า "ข้อมูลชี้ว่าการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยลดการอักเสบของสมอง ซึ่งสามารถทำให้ดีขึ้นได้"


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update : วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 06:37:08 น.)

ไข่ไก่ยอดอาหาร

จาก อัลบั้ม มติชนออนไลน์
ไข่ไก่ยอดอาหาร

ไข่ไก่เป็นสุดยอดของอาหารสำหรับมนุษย์ นักประวัติศาสตร์ชื่อว่ามนุษย์เอาไก่มาเลี้ยงในบ้านเพื่อกินไข่ตั้งแต่เมื่อ 7,500 ปีก่อนเพราะตระหนักดีถึงคุณค่าของไข่ไก่ บริเวณที่เกิดขึ้นครั้งแรกน่าจะเป็นบริเวณอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อย่างไรก็ดีในปัจจุบันมีความเข้าใจผิดกันมากเกี่ยวกับการบริโภคไข่ไก่

ศาสตราจารย์ กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์ ได้เขียนบทความชื่อ "ไข่ไก่อาหารต้านมะเร็งอย่างง่าย สารอาหารที่ครบถ้วน" ไว้อย่างน่าสนใจ และทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริโภคไข่ไก่ จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้

".......ภายใต้อุณหภูมิและ เงื่อนไขการเจริญเติบโตที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเพิ่มการบำรุงจากภายนอก ไข่ไก่ก็สามารถฟักเป็นลูกไก่ได้ ถือเป็นการอธิบายได้อย่างชัดแจ้งว่าไข่ไก่มีสารบำรุงที่อุดมสมบูรณ์มาก มีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อระบบประสาทและต่อการเจริญเติบโต ดังนั้น ไข่ไก่ช่วยปกป้องคุ้มครองพลังสมองของเยาวชนในวัยเรียน และช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ สำหรับผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมีส่วนช่วยในด้านบำรุงร่างกายให้สมดุลและเพิ่ม สารอาหาร

ภายใต้อุณหภูมิที่เหมาะสมไข่ไก่สามารถฟักเป็นไก่ได้โดยไม่ ต้องเสริมการบำรุงจากภายนอกแต่อย่างใด เท่านี้ก็พอที่จะพิสูจน์ได้ว่าภายในไข่ไก่มีสารอาหารอยู่ครบถ้วน ไข่ไก่มีสารอาหารต่างๆ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน Ovoflavin เลคซิติน และวิตามินเอ บี ดี ตลอดจนแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เซเลเนียม ธาตุสังกะสี เป็นต้น

ส่วนที่บริโภคได้ในไข่แดงประกอบด้วยสารต่างๆ ได้แก่ ไขมัน 1 ใน 8 ส่วนจะอยู่ในไข่แดงค่อนข้างมาก คือ ประมาณ 1 ใน 3 ไขมันชนิดนี้มีลักษณะข้นอยู่ในไข่แดง ร่างกายย่อยและดูดซึมได้ง่าย นอกจากนี้สารเลซิติน คอเลสเตอรอล Ovoflavin จะมีปริมาณอยู่กว่าครึ่ง ซึ่งมีประโยชน์มากต่อระบบประสาทและการเจริญเติบโต และยังช่วยเสริมความจำให้ดีขึ้น

โปรตีนในไข่ไก่มีประมาณ 12% ที่สำคัญจะเป็นสาร Ovalbumin และ Ovoglobulin ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของทารก ในไข่แดงยังมีส่วนประกอบของ Phosphoproteins อยู่เป็นจำนวนมาก สารทั้ง 3 ชนิดข้างต้นเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์อุดมด้วยกรดอะมิโน 8 ชนิดที่จำเป็นสำหรับร่างกายคน กล่าวสำหรับประเภทวิตามินแล้ว ในไข่แดงยังเป็นแหล่งที่มาของวิตามินเอ บี 2 บี 6 และดี ตลอดจนสารชีวภาพ

สาร บำรุงอันสมบูรณ์ครบถ้วนของไข่ไก่นี้ สำหรับหนุ่มสาววัยศึกษาเล่าเรียนที่ใช้พลังงานทางสมองมาก จะช่วยบำรุงให้สมองกระปรี้กระเปร่า และเนื่องจากไข่ไก่มีสารเลซิติน อยู่เป็นจำนวนมาก หากผู้สูงอายุได้รับประทานไข่วันละหนึ่งฟองจะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้

ไข่ ไก่เป็นอาหารที่ดีในการป้องกันและต้านโรคมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคมะเร็งหลังการผ่าตัด ผ่านรังสีบำบัดและเคมีบำบัด สุขภาพร่างกายจะอ่อนแอมาก ควรจะรับประทานไข่ไก่เป็นการบำรุง แต่หากผู้ป่วยโรคมะเร็งมีโรคแทรกอย่างอื่น เช่น ท่อน้ำดีอุดตัน ปัสสาวะเป็นพิษ (polyurea) สมรรถภาพของตับและไตเสื่อม หรือเป็นมะเร็งตับอ่อน ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ควรรับประทานไข่ไก่

ในไข่ ไก่อุดมด้วยสารบำรุงที่ครบถ้วน บางคนจึงเกิดความกลัวว่าคอเลสเตอรอลจะสูงไม่กล้ารับประทานไข่ไก่ แท้ที่จริงในวัยที่อายุไม่เกิน 40 ปีสามารถรับประทานไข่ไก่ได้วันละ 2 ฟอง ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปรับประทานไข่ไก่ได้วันละ 1 ฟอง นอกเสียจากว่าเป็นผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว (ค่าปกติอยู่ที่ 200 mg/dl) จึงรับประทานเฉพาะไข่ขาวและการออกกำลังกายจะช่วยทำให้คอเลสเตอรอลตัวดี (HDL) เพิ่มจำนวนขึ้น จึงกล่าวได้ว่าการบริโภคในชีวิตประจำวันนั้นมีความสัมพันธ์กับความแข็งแรง ของร่างกายอย่างแนบแน่น และควรปลูกฝังให้มีการออกกำลังกายอยู่เป็นนิจ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ

ไข่ไก่มีวิตามินซีน้อยมาก ดังนั้น เมื่อรับประทานไข่ไก่ ควรรับประทานผักสีเขียวที่อุดมด้วยวิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วย เช่น ไข่ไก่ผัดใส่มะเขือเทศ หรือใบกุยช่ายขาวผัดไข่ เป็นต้น ก็จะได้ทั้งสารอาหารและรสชาติที่เอร็ดอร่อยด้วย แต่ไม่ควรรับประทานไข่ดิบ เพราะในไข่ดิบอาจมีเชื้อโรคปะปนอยู่หลายชนิด และไข่ดิบยังย่อยได้ยากอีกด้วย

โดยสรุปสรรพคุณของไข่ไก่ได้แก่ (1) บำรุงรักษาให้สมองกระปรี้กระเปร่า (2) ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ (3) เป็นอาหารบำรุงที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งภายหลังการผ่าตัดและในระยะพัก ฟื้น........"

เมื่อเข้าใจเรื่องไข่ไก่กันดังนี้แล้ว คงจะได้บริโภคกันอย่างถูกต้องต่อไป

ไม่ว่าไข่ของนายกฯคนใดจะราคาเท่าใดก็ตาม สมควรบริโภคเพราะมีคุณค่าต่ำกว่าราคาทั้งนั้น

ตราบที่ไม่ต้องจ่ายเกินกว่าเลขสองตัวสำหรับแต่ละฟอง

------------------------

ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์ (update : วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 21:30:00 น.)
ชื่อบทความ: ไข่ไก่ยอดอาหาร โดย : วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร้านอาหาร: อาหารญี่ปุ่นขอกด ′Like′

by pa'pat
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (updateวันที่ 04 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 14:20:45 น.)

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อาหารญี่ปุ่นขอกด ′Like′

อาหารญี่ปุ่น คงเป็นอาหารที่หลายๆคนขอกด Like อาจเป็นเพราะรสชาติที่มีความเป็นเอเชีย ทำให้คนไทยทานง่าย เป็นอาหารทีดีต่อสุขภาพ และมีความเอาใจใส่ในการทำสูงอีกชาติหนึ่งก็ว่าได้ ทำให้เป็นทางเลือกของใครหลายๆคนในการนัดสังสรรค์

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในนั้น และครั้งก็ขอแนะนำร้าน อินาโฮ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีทั้งบุฟเฟ่ต์แบบตามสั่งและไม่บุฟเฟ่ต์ แม้เมนูจะไม่มีให้เลือกเยอะเท่าไหร่ สำหรับผู้ที่เน้นความหลากหลายอาจไม่ค่อยจุใจ

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมนูที่มีเป็นเมนูขั้นพื้นฐานที่เราๆท่านๆชอบสั่งกัน เช่น ปลาดิบ (ปลากะพง ปลาแซลมอน ปลาซาบะดอง) ข้าวหน้าหมู ไข่ตุ๋น ซุปเต้าหู้ สลัดหนังปลาแซลมอน ข้าวผัดกระเที่ยม ซูชิหน้าแซลมอน ซูชิหน้าปลาซาบะดอง ไข่หวาน (และอีกหลายเมนูที่จำไม่ได้)

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แซลมอนย่างเกลือ


แต่ซูชิข้าวเยอะไปหน่อยกินแค่สองสามคำก็อาจทำให้อิ่มได้ ส่วนปลาดิบไม่คาว รสชาติดี อีกเมนูที่ติดใจคือ ซาบะและแซลมอนย่างเกลือ ที่ย่างไม่แห้งไป ทำให้เนื้อชุ่มฉ่ำ และมีรสมัน เครื่องดื่มก็เป็นชาเขียว ร้อน-เย็น ไม่มีขนมหวาน

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สลัดผัก


ราคาบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันอยู่ที่ 300บาท/คน (11.00-14.00 น. ปิดครัว 13.00น.) และมื้อเย็นอยู่ที่ 350บาท/คน ให้เวลากิน 2 ชั่วโมง แต่สำหรับคนที่อยากกินเมนูที่ชอบๆ รสชาติถูกปาก ร้านอินาโฮก็เป็นทางเลือกหนึ่ง

จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ซาบะย่างเกลือ


ร้านนี้อยู่บนถนนพระราม 4
ข้างๆโชว์รูมมาสด้า ใกล้ตึกอื้อจือเหลียง
ติดต่อร้าน 02-236-1880


จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สลัดหนังปลาแซลมอน


จาก อัลบั้มประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ข้าวผักกระเทียม