วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

ผัดอาหารอย่างไร ให้อร่อย

ผัดอาหารอย่างไร ให้อร่อย
วิธีการปรุงอาหารด้วยการผัดนั้น นับเป็นวิธีที่ง่าย และไม่ยุ่งยาก ถ้าคุณไม่มีกระทะหลุมแบบที่ใช้กันโดยทั่วไป กระทะแบนสำหรับทอดก็สามารถใช้แทนกันได้

ก่อนการผัดทุกครั้งจะต้องตั้งไฟจนกระทะร้อนได้ที่ ก่อนจะใส่วัตถุดิบ(เนื้อสัตว์ หรือ ผัก) ลงไปในกระทะ ในการผัดนั้นนิยมใช้ตะหลิว (ทั้งที่ทำจากโลหะ หรือไม้) เพื่อกลับอาหารในกระทะอย่างรวดเร็ว

เมื่ออาหารสุก รีบปรุงรสและนำออกจากกระทะและเตรียมตัวทายขณะที่อาหารยังร้อนๆ เนื่องจากขั้นตอนการผัดนั้นมักจะใช้เวลาสั้น วัตถุดิบต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาหารจึงต้องเตรียมให้พร้อมก่อนเริ่มการผัด ทั้งนี้เมื่อทำการผัดอาหารแล้วจะได้อาหารที่สุกพอดี ไม่ไหม้จากการที่ต้องเสียเวลาเตรียมวัตถุดิบอื่นๆ

ส่วนเคล็ดลับที่สำคัญในการผัดอาหารทะเลนั้น เวลาผัดจะต้องใช้ไฟสูง และผัดอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผิวด้านนอกของอาหารทะเลสุก ขณะที่ภายในยังนุ่ม (ปรุงเกือบสุก - จะได้รสชาติดีที่สุด) อาหารทะเลที่ปรุงสุกเกินไปจะรสชาติไม่อร่อย ผิวแข็ง และกระด้าง


ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์
(update: วันพฤหัสบดี ที่ 21 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น)

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

สูตรเด็ดไข่เจียว ไข่กรอบ


สูตรเด็ดไข่เจียว เริ่มกันด้วยเคล็ดลับการเจียวไข่กันก่อน ทำไงให้กรอบๆ ฟูๆ
ไข่กรอบ
ส่วนผสม

- ไข่ไก่ 1-2 ฟอง (วางไว้ที่อุณหภูมิห้องให้หายเย็น)
- แป้งโกกิผสมน้ำเล็กน้อย
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- น้ำปลาและน้ำตาลเล็กน้อยสำหรับปรุงรส
- น้ำมันสำหรับทอด (น้ำมันหมูอร่อยที่สุด แต่น้ำมันพืชก็ใช้ได้)

วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ชาม ตามด้วยแป้งโกกิที่ผสมน้ำไว้แล้ว ผงฟู และน้ำปลากับน้ำตาลสำหรับปรุงรส (ใครอยากใส่ส่วนผสมเพิ่มก็ตามสบาย) จากนั้นตีไข่กับส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนขึ้นฟอง
2. ในกะทะที่ตั้งน้ำมันรอไว้จนร้อนแล้ว (ใช้น้ำมันเยอะ ๆ ) ให้นำไข่ที่เจียวเตรียมไว้เทจากที่สูง ๆ ลงไปทอด ให้เหลือง ฟู และกรอบทั้งสองด้าน แล้วนำเสริฟร้อน ๆ ทานคู่กับซอสพริกเข้ากันดี
(ส่วนผสมเพิ่มก้ออาจจะเป็น หมูสับ ไก่สับ กุ้ง ปู แฮม แหนม หอย มาม่า ปลาป๋อง พริกสด หอมแดง ข้าวโพด ทูน่า ฯลฯ แล้วแต่รสนิยมเลยค่ะ)


ที่มา: http://www.facebook.com/photo.php?fbid=211472712204795&set=a.176749792343754.39870.100000262035529&type=1
--------------------------------------------------



ไข่กรอบ
ส่วนผสม
- ไข่ไก่ 1-2 ฟอง (วางไว้ที่อุณหภูมิห้องให้หายเย็น)
- แป้งโกกิผสมน้ำเล็กน้อย
- ผงฟู 1/2 ช้อนชา
- น้ำปลาและน้ำตาลเล็กน้อยสำหรับปรุงรส
- น้ำมันสำหรับทอด (น้ำมันหมูอร่อยที่สุด แต่น้ำมันพืชก็ใช้ได้)
วิธีทำ
1. ตอกไข่ใส่ชาม ตามด้วยแป้งโกกิที่ผสมน้ำไว้แล้ว ผงฟู และน้ำปลากับน้ำตาลสำหรับปรุงรส (ใครอยากใส่ส่วนผสมเพิ่มก็ตามสบาย) จากนั้นตีไข่กับส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนขึ้นฟอง
2. ในกะทะที่ตั้งน้ำมันรอไว้จนร้อนแล้ว (ใช้น้ำมันเยอะ ๆ ) ให้นำไข่ที่เจียวเตรียมไว้เทจากที่สูง ๆ ลงไปทอด ให้เหลือง ฟู และกรอบทั้งสองด้าน แล้วนำเสริฟร้อน ๆ ทานคู่กับซอสพริกเข้ากันดี
(ส่วนผสมเพิ่มก้ออาจจะเป็น หมูสับ ไก่สับ กุ้ง ปู แฮม แหนม หอย มาม่า ปลาป๋อง พริกสด หอมแดง ข้าวโพด ทูน่า ฯลฯ แล้วแต่รสนิยมเลยค่ะ)

ไข่เจียเสฉวน เจียวไข่กันแบบจีนๆ


เครื่องปรุง
- ไข่ไก่ 6 ฟอง
- หมูสับ 50 กรัม
- ต้นหอมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำซุปไก่ 1 ถ้วย
- แป้งมัน 1/2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- หน่อไม้กระป๋องสับ 60 กรัม
- เห็ดหูหนูสับ 20 กรัม
- ผักกาดดองสับ 20 กรัม
- เกลือ 1 ช้อนชา
- แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันสำหรับทอด 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
1 นำไข่ไก่ 6 ฟองมาตีกับแป้งมัน และเกลือ
2 นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันให้ร้อนไม่ต้องมากนัก ( ปานกลาง) เทไข่ลงไปแล้วลดไฟให้อ่อน ทอดไข่ข้างหนึ่ง 3 นาที เมื่อไข่ฟูเสมอกันกลับไข่ ทอดต่ออีกข้างให้เหลือง เมื่อเหลือและ กรอบนิดหน่อยตักออกแล้ว นำไปหั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่จานพักไว้
3 นำกระทะอีกใบตั้งไฟใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย เมื่อร้อนนำหมูสับลงไปผัดให้สุก แล้วจึงใส่น้ำซุปลงไป ต้มให้เดือด ใส่หน่อไม้ เห็ดหูหนู และผักกาดดองสับ ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทย เมื่อรสชาติเป็นที่พอใจแล้วทำให้ซอสข้นด้วยแป้งมันผสมน้ำ นำซอสนี้ไปราดบนไข่เจียว โรยหน้าด้วยหอมสับ เสิร์ฟร้อน ๆ


ที่มา: http://www.facebook.com/photo.php?pid=784950&id=100000262035529&fbid=211473042204762

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

เฮดส์ ออร์ เทลส์ ขนมปังสังขยาสูตรอร่อย บนตึกแพลทินัม


เฮดส์ ออร์ เทลส์ ขนมปังสังขยาสูตรอร่อย บนตึกแพลทินัม

เพื่อนฝูงบอกปากต่อปากมาหลายเดือนแล้วว่า "ที่แพลทินัม ประตูน้ำ มีร้านขนมปังสังขยาอร่อยมาก"

แค่บอก...เราไม่เชื่อ เราถึงต้องตามไปชิม

ร้านนี้อยู่ชั้น 5 บนตึกแพลทินัม เฟส 2 เป็นร้านกาแฟแบบชิล ๆ วิวพาโนราม่าแยกประตูน้ำ-ราชประสงค์ ย่านช็อปปิ้งใจกลางเมือง ร้านมีชื่อว่า Heads or Tails อ่านและแปลตรงตัวว่า "เฮดส์ ออร์ เทลส์ = ออกหัวหรือออกก้อย"

"ชื่อร้านมาจากความตั้งใจแบบไม่ตั้งใจค่ะ เพราะสมัยผู้บุกเบิกเปิดร้านครั้งแรกย่านเอแบค ก็ไม่รู้ว่าธุรกิจนี้จะออกหัวหรือออกก้อย อีกอย่างขนมปังต้องปิ้งทั้ง 2 หน้า ก็เหมือนเหรียญสองด้าน ชื่อร้านก็เลยเป็นจุดขายด้วยค่ะ" อภิสรดา สุขเจริญผล เจ้าของร้าน ไขปริศนาให้ฟัง

ในพื้นที่หัวมุมร้าน 45 ตารางเมตรของเฮดส์ ออร์ เทลส์ บางวันโต๊ะแทบไม่พอนั่ง เพราะลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นและที่มาแบบครอบครัวจะชอบมาพักทานของว่างที่ร้านนี้ พร้อมสั่งกาแฟสดรสชาติเข้มข้นที่ชื่อ Bon Bon ในสไตล์แก้วทรงสูงราคา 95 บาท มีนมข้นนอนก้นชวนดื่ม และ คาปูชิโน่ฟองนุ่ม (ร้อน-เย็น) แก้วละ 50 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่รับได้

ที่ติดใจกันมากคือขนมปังหนานุ่มสูตรต้นตำรับจากเยอรมนี ราดหน้าด้วย 4 หน้ายอดฮิต ทั้งแบบสังขยาธรรมดาสีส้มสด สังขยาใบเตย สังขยาเผือก และหมูหย็องน้ำพริกเผา แต่ละชิ้นไม่ใช่แค่หน้าตาดีอย่างเดียว รสชาติเขาก็ดีจริง ๆ

จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เลยเลยเถิดเป็นแผ่นที่ 5 ราดด้วยหน้าเนยนม โอ๊ะ ! ก็อร่อยอีก นี่แหละหนา น้ำหนักไม่ลงก็เพราะเจอของอร่อยแบบนี้ สรุปแล้ว "ร้านออกหัวหรือออกก้อย" ไม่ใช่มีดีแค่เนื้อขนมปังเท่านั้น แต่ความเข้มข้นของรสชาติท็อปปิ้งแต่ละอย่าง จัดว่าอร่อยเด็ดและให้เยอะจริง ๆ

บรรยากาศร้านสบาย ๆ และแอบเก๋ด้วยสไตล์การตกแต่งที่เน้นสีครีม-เลือดหมู โต๊ะโครงสร้างเหล็กน่ารัก ๆ มีเหรียญจากเมืองนอกแปะเป็นคอลเล็กชั่นเรียกความสนใจจากสายตาของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาอุดหนุน

นอกจากนี้ทางร้านยังมีวาฟเฟิลหลากหลายหน้า แซนด์วิช เมนูเซตทุกมื้อคอยต้อนรับ ราคาอยู่ 25-100 กว่าบาทนิด ๆ

อิ่มอร่อย แถมสบายกระเป๋าอย่างนี้ บรรดาขาช็อปว่างก็แวะไปนะคะ...

Recommened : ขนมปังสังขยาเผือก ใบเตย ราคา 25 บาท เจลลี่เค้ก 22 บาท Pinky Frappe 65 บาท

Open Hour : ทุกวัน เวลา 09.00-19.30 น.

How to get to : ชั้น 5 แพลทินัม เฟส 2 ประตูน้ำ

Contact : 0-2160-7149

เคล็ดลับความสำเร็จ

"ขนมปังแถวหัวกะโหลก" เป็นสูตรต้นตำรับ ผลิตวันต่อวัน สดใหม่ เหนียวหนึบ

สร้างความต่างจากความคิดสร้างสรรค์ เช่น ขนมปังหน้าสังขยาเผือก จะใส่เผือกลูกเต๋าเป็นจุดขาย

บริการดี รสชาติคงที่ คำที่ท่องขึ้นใจ "เอาใจลูกค้ามาใส่ใจเรา"


ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 17:01:31 น.)

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ก๋วยเตี๋ยวแกงซีฟู้ด Seafood Laksa


TourDeFoodBlog นำเพื่อนๆ ทุกคนมาถึงจานสุดท้ายของโปรเจค Southeast Asian Sensation แล้วนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะได้ไปกันแค่ 4 ประเทศ แต่ก็หวังว่าผู้อ่านจะรู้สึกเต็มอิ่มจุใจกับกลิ่นอายอันน่าเย้ายวนของเอเชียอาคเนย์ไม่มากก็น้อยนะครับ ประเทศสุดท้ายที่เราจะไปนั้นขอขยับขึ้นมาเล็กน้อยจากมาเลเซีย ไปสู่ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจที่แฝงมาในร่างของเกาะขนาดย่อม— สิงคโปร์ ครับ


ด้วยความที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และเต็มไปด้วยคนมากหลายเชื้อชาติ อาหารของสิงคโปร์นั้นก็ไม่ต่างกับรถไฟเหาะครับ ที่มีเรื่องน่าตื่นเต้นให้ค้นหาอยู่เสมอ ทั้งรูปแบบของอาหารตะวันตก อินเดีย จีน อย่างไรก็ตาม อย่างที่ทราบกันมาแล้วจาก entry ก่อนๆ เราจะพบว่าอาหารสไตล์อินโดนีเซียนั้นมีอิทธิพลครอบงำประเทศในเขตนี้ค่อนข้างมาก


และรูปแบบของอาหารนั้นมักจะใกล้เคียงกับมาเลเซียมากทีเดียว
อันที่จริงความใกล้เคียงกันของสองประเทศนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เรื่องอาหารเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงวัฒนธรรมด้านอื่นๆ ด้วยครับ นั่นเป็นเพราะว่าทั้งสองนั้นมีความผูกพันทางประวัติศาสตร์กันมายาวนานนั่นเอง

คนสิงคโปร์นั้นไม่ค่อยนิยมกินอาหารกันตามร้านรวงหรูหราเท่าใด แต่ร้านจำพวกหาบเร่ หรือฟู้ดคอร์ทนั้นจะเป็นที่นิยมมากๆ อาหารเจ้าอร่อยๆ ก็มักซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่พวกนี้ครับ (ถ้าเป็นของไทยก็จะประมาณพวกร้านรถเข็นริมทางเจ้าดัง แต่บ้านเมืองเขาเรียบร้อยกระมังครับ เลยจัดที่กินเป็นที่เป็นทาง)


entry นี้จะพูดถึงอาหารเส้นที่นิยมกันมากๆ ในเขตนี้ที่เรียกว่า laksa (ลักซา) ครับ ลักซานั้นโดยกำเนิดเป็นอาหารของคนจีนปรานากัน (คนไทยจะรู้จักกันว่า บาบ๋า-ยอนย่า) ซึ่งเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานแถบคาบสมุทรมลายู วัฒนธรรมของคนจีนกลุ่มนี้จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมจีนและมาเลย์ ซึ่งการผสมนี้ก็แปลออกมาเป็นลักซาได้ชัดเจนครับ คือ อาหารเส้น เป็นวัฒนธรรมของจีน ส่วนเครื่องเทศในซุปแสนเผ็ดร้อนนั้นก็เป็นวัฒนธรรมมาเลย์นั่นเอง


ลักซานั้นสามารถแบ่งออกใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ น้ำแกงแบบกะทิ กับน้ำแกงแบบใส ซึ่งที่เราจะทำกันในครั้งนี้เป็นลักซาที่นิยมกินกันในสิงคโปร์ครับ (และดูเหมือนจะเป็นลักซาแบบที่คนส่วนใหญ่ เช่นในออสเตรเลีย หรืออเมริกา ชื่นชอบและนิยมกินกัน) เป็นลักซาน้ำกะทิ ที่มองดูเผินๆ แล้วก็จะคล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวแกงของบ้านเราครับ

ใครเคยดูรายการ Top Chef น่าจะพอจำดราม่าที่เกิดขึ้นกับลักซาได้นะครับ ในซีซั่นที่ 4 ของรายการ ผู้แข่งขันคนนึงที่ชื่อ Lisa Fernandes (เชฟผู้หญิงที่ชอบยืนกอดอก ทำหน้าหงุดหงิดเบื่อโลกคนนั้นล่ะครับ) เสนอตัวทำลักซาแบบพิลึกพิลั่นที่ไม่เคยมีใครเคยกินมาก่อน ด้วยการเอาโครงไก่ไปรมควันเพื่อนำไปต้มเป็นน้ำสต็อกครับ ซึ่งเหตุผลที่เธอให้ก็คือ ลักซาแบบ “ดั้งเดิม” ต้องมีกลิ่นแบบ smoky -*- ฟังแล้วรู้สึกปวดตับจริงๆ เพราะดูแล้วก็รู้เลยว่าเธอมั่วสูตร อาหารเอเชียนี่บางทีก็น่าเสียดายแทนครับ เพราะเจอคนที่ไม่ยอมศึกษาจริงๆ เอาไปปู้ยี่ปู้ยำจนเละเลย ถึงจะไม่ใช่อาหารบ้านเราก็อยากจะรักษานะครับ เป็นเพื่อนบ้านกันทั้งที 55


ลักซาน้ำกะทินั้นสามารถมีเครื่องเคียงหลายแบบครับ บางที่จะใช้ไก่ บางที่จะเป็นอาหารทะเล แต่ที่ขาดไม่ได้สำหรับลักซาแบบนี้คือ เต้าหู้ทอด (แบบที่กินกับเย็นตาโฟนั่นแหละครับ) ถั่วงอก และผักแพว ผักแพวนั้นเรามักจะเห็นกันเวลาไปกินอาหารเวียดนาม เพราะเขาจะใส่มาในตะกร้าผักสดด้วย แต่เหมือนๆ ว่าคนส่วนมากโดยเฉพาะฝรั่ง จะรู้จักผักชนิดนี้ว่าเป็น “ผักลักซา (laksa leaf)” เพราะเป็นผักที่เพิ่มกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับลักซาครับ

คราวนี้ที่ทำ เป็นลักซาอาหารทะเลแบบยกทะเลมาไว้ในชามเลยทีเดียวก็ว่าได้ครับ เพราะเครื่องเครานั้นเยอะมากเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าผู้อ่านมักน้อยก็เลือกเอาแค่ 2-3 อย่างก็ได้ครับ แต่เครื่องปรุงสำคัญที่เกริ่นมาก่อนหน้านี้นั้นขออย่าให้ขาด เพราะจะได้เป็นลักซาแบบแท้ๆ คนสิงคโปร์บางทีก็ชื่นชอบใส่หอยแครงลงในลักซาด้วย รอบที่ผมทำนี้ก็ใส่นะครับ แต่ถ่ายภาพออกมาแล้วไม่น่าดูเท่าไร เวลาเคล้าหอยแครงไม่สุกมากลงในซุปร้อนๆ หอยแครงก็จะสุกพอดีๆ นุ่มและฉ่ำน้ำมากๆ ใครสนใจลองทำชิมดูได้ครับ


ถ้ามีเวลามากๆ ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้เริ่มปั่น/ตำเครื่องแกงเองครับ เพราะอันดับแรก เมืองไทยไม่น่าจะหาซื้อพริกแกงลักซาสำเร็จได้ และสอง เครื่องแกงที่ทำเองค่อนข้างรสชาติดีกว่าปรุงสำเร็จนะครับ (น่าจะเคยเห็นผงปรุงรสลักซาตามห้างใหญ่ๆ อันนั้นสำหรับคนที่หาวัตถุดิบไม่ได้จริงๆ ครับ) เครื่องแกงนี้อาจจะทำล่วงหน้าไว้ก็ได้ เก็บได้ไม่น่าจะเกินหนึ่งสัปดาห์ครับ

Seafood Laksa
สำหรับ 4 ที่
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
พริกแกง laksa paste 1 สูตร (สูตรอยู่ด้านล่างครับ)
กะทิ 500 มิลลิลิตร
น้ำสต็อกไก่ หรือน้ำเปล่า 1 ลิตร
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ (ปรุงเพิ่มได้ครับ)
น้ำมะนาวจากมะนาว 2 ลูก (เพิ่มได้ถ้าชอบ)
น้ำตาลทราย เกลือ/พริกไทย ตามชอบ
กุ้งสดปอกเปลือกไว้หาง 8 ตัว
ปลาหมึกกล้วยหั่นเป็นชิ้น 100 กรัม
หอยเชลล์ล้างให้สะอาด 4 ตัว
หอยนางรมสด 4 ตัว
ปลาเก๋าแดงหั่นชิ้น 200 กรัม
ลูกชิ้นปลา 12 ลูก
เต้าหู้ทอด 6 ชิ้น (หั่นครึ่ง)
ไข่ต้มสุกแข็ง 1 ฟอง
ถั่วงอกเด็ดหาง ล้างให้สะอาด 1 ถ้วย
เส้นเล็ก 200 กรัม
ผักชีไทยสับหยาบๆ 1 ถ้วย
ผักแพวสับหยาบๆ 1 ถ้วย
แตงกวาเอาเม็ดออกหั่นเป็นแท่งสั้นๆ 2 ลูก
มะนาวหั่นเสี้ยว และน้ำพริกเผาเล็กน้อย สำหรับเสิร์ฟ

วิธีทำ
1. ใส่น้ำมันพืชในหม้อจนพอร้อน ใส่พริกแกงลงไปผัดจนพอหอมประมาณ 5-7 นาที ใส่กะทิและน้ำสต็อกลงไป เร่งไฟให้เดือด และลดไฟลงให้พอรุมๆ ตั้งไฟต่้อไปประมาณ 30 นาที หมั่นคนเป็นระยะๆ
2. ในหม้ออีกใบหนึ่ง ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำอาหารทะเลลงไปลวกให้พอสุกทีละอย่าง พักไว้
3. ชิมน้ำซุปลักซาที่ได้ที่แล้ว ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาล เกลือ และพริกไทยตามชอบ
4. นำเส้นเล็กไปลวกจนสุกและนิ่มได้ที่ แบ่งออกเป็น 4 ชาม ใส่ถั่วงอก แตงกวา และเต้าหู้ทอดลงไป เรียงอาหารทะเลลวกสุกและไข่ต้มลงไปในชามให้สวยงาม ใส่น้ำซุปลักซาร้อนๆ ราดด้านบน พร้อมกับลูกชิ้นปลาลวก
5. โรยหน้าด้วยผักชีและผักแพว เสิร์ฟพร้อมกับมะนาวหั่นเสี้ยวและน้ำพริกเผา

Laksa Paste (เครื่องแกง)
พริกขี้หนูแดงเม็ดใหญ่ 10 เม็ด
พริกแดงแห้ง 5 เม็ด
หอมแดงเล็ก 8 หัว
ถั่วแมคคาเดเมีย 8 เม็ด (จริงๆ ต้องใช้ candlenut ครับ แต่หาไม่ได้ ถั่วแมคคาเดเมียจะให้รสใกล้เคียงที่สุด ใช้แทนกันได้)
ข่าสดประมาณ 1 นิ้ว ปอกเปลือกออก สับหยาบ 1 ข้อ
ขิงประมาณ 1 นิ้ว ปอกเปลือกออก สับหยาบ 1 ข้อ
ตะไคร้ซอยหยาบ 2 ต้น (เอาเฉพาะส่วนสีขาว)
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 3 กลีบ ทุบพอบุบ
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

1. เอาส่วนผสมทั้งหมดปั่นผสมรวมกันในเครื่องปั่นผสมอาหารจนละเอียดเข้ากันดี เก็บใส่ภาชนะปิดฝาให้แน่นให้ตู้เย็น หรือนำไปใช้ได้ทันที

ติดตามเรื่องเก่า ๆ ได้ที่ http://www.tourdefoodblog.com/ หรือที่เฟซบุค http://www.facebook.com/TourDeFoodBlog


ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์
บทความชื่อ: อาหารเอเชียอาคเนย์ : จานที่ 5 ก๋วยเตี๋ยวแกงซีฟู้ด Seafood Laksa โดย ‘TourDeFoodBlog’
(update: วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 17:00:21 น.)

กินกล้วย 3 เวลา ลดเสี่ยงหลอดเลือดสมองอุดตัน


นักวิทยาศาสตร์แนะนำบริโภคกล้วยวันละ 3 เวลา โพแตสเซียมในกล้วยจะช่วยลดลิ่มเลือดในสมองประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์

นักวิจัยชาวอังกฤษและชาวอิตาลีพบว่า การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยโพแตสเซียม เช่น ผักขม ถั่ว นม และปลา
ถึงแม้จะมีการวิจัยพบว่าการบริโภคกล้วยจะช่วยควบคุมความดันโลหิตและป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันมากพอ

ในผลวิจัยครั้งล่าสุดที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารสถาบันโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมผลการศึกษาที่แตกต่างกัน 11 การศึกษา ได้ข้อสรุปที่เหมือนกันคือการบริโภคโพแตสเซียมวันละ 1,600 มิลลิกรัม จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นหลอดเลือดหัวใจถึง 1ใน 5

โดยเฉลี่ยกล้วยมีปริมาณโพแตสเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัมต่อผล ที่จะช่วยลดความดันโลหิตและควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย หากโพแตสเซียมในเลือดน้อยจะส่งผลการเต้นของหัวใจผิดปกติ คลื่นไส้ และท้องร่วง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวาร์วิคและมหาวิทยาลัยเนเปิลกล่าวว่าขณะนี้ประชาชนบริโภคโพแตสเซียมต่อวันน้อยกว่าปริมาณที่แนะนำ ถ้าผู้บริโภครับประทานอาหารที่อุดมด้วยโพแตสเซียมเพิ่มขึ้นและลดการบริโภคเกลือลง ปริมาณการตายจากโรคหลอดเลือดสมองอุตันจะลดลงมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีทั่วโลก

โรคหลอดเลือดสมองอุดตันฆ่าชีวิตของชาวอังฤษกว่า 200 คนต่อวัน ซึ่งกระทรวงสาธารณะสุขของอังกฤษต้องสูญเสียค่ารักษาดูแลผู้ป่วยโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันราว 2.3 พันล้านปอนด์ต่อปี


ที่มา: มติชนออนไลน์
(update: วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:54:26 น.)

"เอลวิส สุกี้"ไม่มีวันตาย กลมกล่อมซ่อนตัวในฟู้ดคอร์ทริมถนน"ยศเส"


ได้ยินว่าแถวยศเส หรือสวนมะลิ มีร้านอาหารตั้งร้านขายติดกันเป็นโซนคล้ายฟู้ดคอร์ท มีทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด โจ๊กหมูรสเด็ด หมูสะเต๊ะ อาหารตามสั่ง และขนมหวาน ขึ้นชื่อต่างๆ เป็นที่รู้จักในบรรดาลูกค้าขาประจำมื้อดึก รวมทั้ง "สุกี้รสเด็ด"


แม้ว่าในโซนนั้น จะมีร้านสุกี้ 2 ร้านอยู่ใกล้กัน แต่เราเล็งเห็นว่า ร้านสุกี้ชื่อ "เอลวิส" มีลูกค้ายืนมุงเยอะกว่า จึงพุ่งเข้าไปพิสูจน์ พร้อมตัดสินว่าจะเลือกนั่งตรงไหนดี เพราะร้านนี้เขามีทั้งห้องแอร์ และห้องพัดลม

เราตัดสินใจเลือกห้องพัดลมแบบดั้งเดิม ในตึกแถวเก่าแก่แสงทึมๆ เพราะได้เห็นลีลาแม่ครัวใส่แว่นตาใสกันควัน ผัดสุกี้ไฟลุกอย่างเชี่ยวชาญอยู่หน้าร้าน น่าตื่นตาตื่นใจดี ขณะที่ตู้โชว์มีแขวนผัดกาดขาวไว้เป็นหัวๆ และกองหมูชิ้นหมักอยู่ในถาดใหญ่


เห็นท่าทางตอกไข่ ใส่หมูและผักอย่างว่องไว ก่อนบรรจงตวัดตะหลิวผัดอย่างคล่องแคล่ว และอุปกรณ์แต่งตัวที่เตรียมพร้อมซะขนาดนั้น เราก็ล้างปากรอ "สุกี้แห้งรวมมิตร" ได้เลย หลังจากลังเลระหว่างสุกี้แห้งและสุกี้น้ำ


สักพัก "สุกี้แห้งรวมมิตร" ที่เรารอคอยก็มา หน้าตาน่าทานไม่หยอก เป็นสุกี้ที่ดูชุ่มฉ่ำไปด้วยไข่และน้ำจิ้มพอขลุกขลิก มีทั้งเนื้อไก่หมัก เนื้อหมูหมัก กุ้ง แม่หมึกสด และปลาหมึกกรอบ ผัดกับต้นหอม ผักกาดขาว และคึ่นช่าย

พอใช้ตะเกียบคีบวุ้นเส้นขึ้นมา ยังมีควันร้อนลอยละล่อง หากไม่ทันเป่า คงลวกปากแน่ หลังเป่าเรียบร้อย ก็ตักสุกี้คำโตเข้าปาก ได้รสกลมกล่อมอัดแน่ไปด้วยเนื้อสัตว์หมักตามสูตรของร้าน และยังสัมผัสถึงความนุ่มของไข่ที่สอดแทรกอยู่ในทุกคำ หากยังไม่เข้มข้นพอ ก็ตักน้ำจิ้มในถ้วยใบเล็กเพิ่มเข้าไปอีก จะได้รสชาติถึงใจมากขึ้น น้ำจิ้มที่นี่ไม่เผ็ดมากเกินไป แม้จิ้มมากก็ไม่ทรมานลิ้น กินได้เรื่อยๆ จนหมดชาม


ก่อนพาเหรดตามมาด้วย "ข้าวผัดกุ้ง" ใช้ข้าวเม็ดอวบกับไข่และกุ้งตัวโต จานนี้เหมาะสำหรับคนรักษาสุขภาพ เพราะไม่มันเยิ้มจนเลี่ยน ได้ข้าวผัดแห้งๆ กำลังพอดี รสชาติกลางๆ ไม่เค็มมากเกินไป กินกับกุ้งสีส้มสดกรุบกรอบเข้ากันเป็นอย่างดี ตกแต่งจานให้สวยงามด้วยต้นหอมหั่นฝอย และแตงกวาหั่นเป็นแว่น


ก่อนปิดท้ายมื้อนี้ด้วย "หอยเชลล์ทรงเครื่อง" อาหารยอดนิยมของทางร้าน ซึ่งหมักหอยเชลล์สดกับเครื่องเทศสูตรเฉพาะของทางร้าน ก่อนนำไปย่างบนเตาร้อนไฟลุกได้เนื้อหอยเชลล์สีขาวละมุนรสชาติกลมกล่อม เลือกจิ้มกับน้ำจิ้มหวานหรือน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ ตามใจชอบ

ใครไม่ชอบหอยเชลล์ยังมีอาหารทะเลชนิดอื่นให้เลือก ทั้งหอยแครงลวก หอยแครงเผา, หอยแมงภู่อบ หอยแมงภู่เผา, กุ้งอบวุ้นเส้น ทรงเครื่อง, ปลาหมึกสดย่างเลิศรส, ปลาสำลีเผาสมุนไพรห่อใบตอง และปลากระพงเผา

ร้านนี้ยังกล้าการันตี อาหารทะเล สดจากทะเล ชนิดวันต่อวัน


และยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมาย ทั้ง ผัดไทเส้นจันทร์, ผัดไทวุ้นเส้น, ก๋วยเตี๋ยวคั่ว, ผัดลูกเต๋า และผัดหัวผักกาด ถ้ากินหมดนี้ คงมีหวังท้องแตกตาย..

แม้ "เอสวิส"ตัวจริง จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สำหรับ "เอสวิส สุกี้" ชื่อนี้ยังไม่ตาย ไม่มีท่าทีจะตายง่ายๆ ดูจากจำนวนลูกค้าทั้งขาประจำและขาจร และยังคงขายอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ 4 โมงเย็น - 5 ทุ่ม


"เอสวิส สุกี้" อยู่ในซอยยศเส ถ.พลับพลาไชย เขตป้อมปราบฯ ติดต่อเพิ่มเติมที่ 02-2234979 หรือเว็บไซต์ www.elvis-suki.com


ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์
บทความชื่อ: พักผ่อนหย่อนพุง - "เอลวิส สุกี้"ไม่มีวันตาย กลมกล่อมซ่อนตัวในฟู้ดคอร์ทริมถนน"ยศเส"
(update: วันที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 08:00:00 น.)

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

อาหารที่ไม่ควรกินคู่กัน & ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน


อาหารที่ไม่ควรกินคู่กัน

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางอย่างมีประโยชน์ บางอย่างไม่มีประโยชน์ แต่คุณ ทราบหรือไม่ว่า อาหารบางอย่างที่เราทานเข้าไปทุกวันๆ เราคิดว่ามีประโยนช์มากมายนั้น บางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มาดูดีกว่าว่ามีอาหารชนิดไหนบ้าง

1. เหล้าขาวกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นพิษ
2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว - ห้ามรับประทารด้วยกัน จะเป็นโรคผิวหนัง
3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง - ห้ามรับประทานด้วยกันจะทำให้หูหนวก
4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้หน้าเป็นฝ้า
5. กล้วยกับเผือก - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้ท้องอืด
6. ถั่วลิสงกับฟักทอง - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ
7. มันเทศกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
8. มันฝรั่งกับลูกพลับ - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ
9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด - ห้ามรับประทานรวมกัน จะทำให้เกิดคอพอก
10. น้ำเต้าหู้ นมสด - ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตับ
11. ผักป๋วยเล้ง - ห้ามรับประทานกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง
12. กล้วยมะละกอ แตงโม - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน
13. ส้มกับมะนาว - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้กระเพาะทะลุ
14. เหล้าขาวกับเบียร์ - ห้ามรับประทานด้วยกัน จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
15. ปลาทุกชนิด - ห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
16. ขิงดอง - ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรค มะเร็ง
17. น้ำเต้าหู้ - ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน
18. น้ำข้าว - ห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน
19. น้ำผึ้ง - ห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน
20. บวบ ซือกวย ไชเท้า - ห้ามรับประทานวันเดียวกัน จะทำให้เป็นเบาหวาน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง


ที่มา: http://www.facebook.com/photo.php?fbid=140804019325944&set=a.139433089463037.30889.100001890403512&type=1&theater

--------------------------------


ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน

เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง

ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที


ที่มา: http://www.facebook.com/photo.php?fbid=140805712659108&set=a.139433089463037.30889.100001890403512&type=1&theater

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

เตือนก่อนสาย10หลุมดำเรื่องกิน


เรื่องกินก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคำที่กินก็ต้องกินอย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็จะคุกคามตามมา

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร

เริ่มจาก "กินเช้าดีแต่...ต้องมีลิมิต" อย่าคิดเน้น แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 "กินแค่พออิ่ม" ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ “อิ่ม” ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ “อิ่มก่อนอิ่ม”แล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ

หลุดถัดไป "ชอบลิ้มก่อนนอน" ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง “ธาตุนิทรา(Melatonin)” กับ “ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone)” แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า "อย่าย้อนกระเพาะ" ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 "กินต้องฝึก" นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า “หิวจริง” หรือ “หิวหลอก” บ่อยครั้งที่เป็นแค่ “อยาก” คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย...จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด “กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม” ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้

สำหรับหลุมดำที่ 6 คือ "นึกแต่หวาน" ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ “ของหวาน” ครับ คนไทยเป็น “โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction)” กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ

ณะที่หลุมดำเรื่องกินที่ 7 "ทานเน้นมัน(ดี)" ขอให้เลือก “ไขมันดี” ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้

หลุมดำที่ 8 "กินติดปรุง" อย่ายุ่งกับ “พวงเครื่องปรุง” ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ

มาถึงหลุมดำที่ 9 "มุ่งกินกาก" หากอยากให้สุขภาพดีจน “สุดไส้” แถมได้ “ล้างพิษ” ไปในตัวขอให้ช่วยกิน “เส้นใย(ไฟเบอร์)” ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ

หลุมดำสุดท้าย "อยากให้หลากหลาย" อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี

@@@

ทราบแล้วลองนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารกันเสียไหม แล้วรอดูสุขภาพของคุณสิ.
takecareDD@gmail.com

ที่มา: เดลินิวส์ออนไลน์ (update: วันจันทร์ ที่ 18 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น.)

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

เมนูกล้วยหอม : Mini Pain Au Choco-Bananaกินง่ายๆ แต่รสชาติเต็มปากเต็มคำ


TourDeFoodBlog ขอแนะนำขนมง่ายๆ ที่ทำจากกล้วยอีกหนึ่งจานโดยคราวนี้เป็นขนมปังไส้ช็อกโกแลตที่ทำได้ง่ายมากครับ และความสำคัญยังอยู่ที่ความคลาสสิกของการผสมผสานระหว่างช็อกโกแลตกับกล้วย

อาจจะเรียกได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ถามเด็กคนไหนหรือผู้ใหญ่ก็ตามที ก็ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ช็อกโกแลตเข้ากันได้ดีกับกล้วยเป็นที่สุด เราจะเห็นเมนูเยอะแยะมากมายเลยครับที่เล่นกับการจับคู่นี้ ทั้งกล้วยเคลือบช็อกโกแลต ไอศกรีม เครปญี่ปุ่น หรือแม้แต่ลูกอม


ทั้งสองเป็นวัตถุดิบที่หาไม่ยากจริงๆ ครับ มีขายตั้งแต่ริมทางไปจนถึงห้างหรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลตครับ อย่างไรก็ตาม ก็มีหลากหลายคุณภาพเหลือเกิน แต่ทำอาหารกับ TourDeFoodBlog ต้องถือคติ "ใช้ของที่ดีที่สุดเท่าที่จะหามาได้" ของบางอย่างประหยัดได้ก็จริงอยู่ แต่อย่าเอาคุณภาพของอาหารที่จะเสิร์ฟคนอื่นมาเสี่ยงเลยครับ ได้ไม่คุ้มเสียหรอกนะครับ หะหะ


ฉะนั้นช็อกโกแลตที่ใช้ ก็พยายามเลือกยี่ห้อดีๆ นะครับ เอาที่มีโกโก้แมสเยอะๆ หน่อย ของราคาถูกจะมีแต่ไขมันโกโก้ผสมน้ำตาล ดีได้แค่เป็นขนมหลอกเด็กนะครับ

ต่อไปก็เอามาทำเป็นขนมอบง่ายๆ (อีกแล้ว) ที่แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก เพราะเราจะใช้แป้งพัฟเพสตรี้แช่แข็งสำเร็จรูปครับ (ถ้าเกิดต้องทำแป้งพัฟเพสตรี้เองตั้งแต่ต้น ความง่ายที่ว่าจะเป็นคนละเรื่องเลยครับ) ขนมนี้คือ pain au chocolat หรือขนมปังไส้ช็อกโกแลตนั่นเอง ชาวฝรั่งเศสเขานิยมกินกันเป็นอาหารเช้าประกอบกับอาหารอื่นๆ เป็นขนมประเภทเดียวกันกับครัวซอง ประมาณว่าอยู่ในตะกร้าเดียวกันแล้วไม่น่าเกลียดว่างั้น

ครั้งนี้จะทำเป็นขนาดเล็กๆ นะครับ กินง่ายๆ แต่รสชาติเต็มปากเต็มคำ เพราะจะเพิ่มรสของกล้วยลงไปในขนมด้วย เป็น pain au chocolat แบบมีลูกเล่น กลายเป็น pain au choco-banana ไปเลย ทั้งนี้สามารถตัดเป็นชิ้นใหญ่ๆ แบบธรรมดาก็ได้ครับ จะสามารถใส่ไส้ได้เยอะขึ้นด้วย

Mini Pain Au Choco-Banana
(ได้ขนมขนาดเล็ก 8 ชิ้น)
แป้งพัฟเพสตรี้แช่แข็งขนาด 300 กรัม 1 แผ่น (ทิ้งไว้ให้พอคลายเย็น)
ช็อกโกแลตอย่างดีหั่นเป็นแท่งเล็กๆ หยาบๆ 1/2 ถ้วย
กล้วยสุกงอมบด 1/4 ถ้วย
ไข่ไก่ 1 ฟอง + น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบไว้ที่ 200?C รีดแป้งพัฟเพสตรี้ให้ได้หนาประมาณ 2 มิลลิเมตร กว้าง 6 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว ตัดเป็นชิ้นๆ ได้สี่เหลี่ยมจัตุรัส 3?3 นิ้ว รวมทั้งหมด 8 ชิ้น
2. ทาแป้งพัฟเพสตรี้ด้วยไข่ไก่ผสมน้ำตรงขอบแป้งให้ทั่ว ตักกล้วยบดลงไปตรงกลางแป้งค่อนไปทางบนเล็กน้อย วางชิ้นช็อกโกแลตแล้วค่อยๆ ม้วนแป้งเข้าด้วยกัน แล้วจับปลายด้านซ้ายและขวาปิดเข้าด้วยกัน เรียงลงบนถาดอบที่ไลน์กระดาษรองอบไว้แล้ว โดยให้ด้านที่เป็นรอยต่ออยู่ข้างล่าง
3. ทาด้วยไข่ไก่ผสมน้ำให้ทั่วชิ้นขนม นำไปอบในเตาอบประมาณ 15 นาที หรือจนกระทั่งขนมสุกเหลืองสวยงาม

ติดตามเรื่องเก่า ๆ ได้ที่ http://www.tourdefoodblog.com/ หรือที่เฟซบุค http://www.facebook.com/TourDeFoodBlog
บทความโดย ′TourDeFoodBlog′
ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์(update: วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 10:58:31 น.)

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

เมนูไข่วิเศษ


เมนูไข่วิเศษ


เมื่อเราเห็นความน่าสนใจของ "ไข่..มหัศจรรย์" วันนี้ว่างๆลองเข้าครัว ลงมือปรุงเมนูอาหารจากวัตถุดิบชั้นเลิศกันเถอะ

สลัดไก่ชัทนีย์ผงกะหรี่

เครื่องปรุง
-ไก่ต้มหั่นเต๋า 100 กรัม
-แอปเปิ้ลเขียวหรือแดงหั่นเต๋า 1/2 ลูก
-เซเลอรี่สับ 1/4 ช้อนโต๊ะ
-หอมหัวใหญ่สับ 1/4 ถ้วยตวง
-ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา
-Chutney 2 ช้อนโต๊ะ
-ลูกเกดแช่น้ำให้นุ่ม 3 ช้อนโต๊ะ
-อัลมอนด์สไลน์ / คั่ว 1/4 ถ้วยตวง
-มายองเนส 1 ถ้วยตวง
-น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
-พาสลี่ย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น พอประมาณ

วิธีทำ
1.ในชามผสม ใส่ไก่ต้มหั่นเต๋า แอปเปิ้ลเขียวหรือแดงหั่นเต๋า เซเลอรี่สับ หอมหัวใหญ่สับ ผงกะหรี่ Chutney ลูกเกดแช่น้ำให้นุ่ม อัลมอนด์สไลน์ / คั่ว มายองเนส น้ำมะนาว และพาสลี่ย์สับลงไป ผสมให้เข้ากัน
2.ชิมรสชาติให้ออก หวานจาก Chutney ตามด้วยเปรี้ยวจากน้ำมะนาวและแอปเปิ้ล ถ้าไม่เค็มให้เติมเกลือป่นเพิ่มลงไป
3.ตักสลัดไก่ Chutney ไก่ใส่ภาชนะ ปิดฝาเข้าตู้เย็น พักไว้

เครื่องปรุงมายองเนส
-ไข่แดง (ใช้ไข่แดงของไข่ไก่เท่านั้น) 2 ฟอง
-มัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
-พริกไทย 1 หยิบมือ
-น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วยตวง
-น้ำมันถั่วเหลืองแท้ หรือน้ำมันมะกอก 1 1/2 - 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.นำส่วนผสมทุกอย่าง นอกจากน้ำมัน มาตีให้เข้ากันด้วยไม้ตีไข่ ตีให้ผสมกันก่อน
2.ระหว่างที่ตี ค่อย ๆ รินน้ำมันลงไปทีละนิด เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากันดี มายองเนสจะข้นขึ้นทีละนิด และมีสีขาวนวล ชิมรสชาติให้ออก เปรี้ยว หวานกลมกล่อม เติมเกลือป่น และพริกไทยป่น
3.ถ้าไม่หวานเติมน้ำตาล ถ้าไม่เปรี้ยวเติมน้ำส้มสายชู
*** สลัดไก่ Chutney ต้องเสิร์ฟแบบเย็นถึงจะอร่อย ***


คาราเมลคัสตาร์ดฟรุ๊ตสลัด

เครื่องปรุง

- น้ำตาลทราย (สำหรับทำน้ำตาลไหม้) 1/2 ถ้วยตวง
- นมสดจืด 2 ถ้วยตวง
- วานิลลา 1 ช้อนชา
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- ไข่แดงของไข่ไก่ 4 ฟอง
- น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
- เกลือป่น 1 หยิบมือ
- ฟรุ๊ตสลัด ตามต้องการ

วิธีทำ
1.เปิดเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นำน้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง มาละลายในหม้อก้นหนา ๆ จนกระทั่งน้ำตาลทรายละลาย และไม่เป็นก้อน และมีสีน้ำตาลอ่อน (แล้วแต่ความต้องการว่าอยากได้ คัสตาร์ดรสชาติขมแค่ไหน)
2.เทน้ำตาลไหม้ลงไปเคลือบก้นถ้วยอบที่ทำด้วยเซรามิก หรือแก้วที่อบไว้
3.นำนมจืดและวานิลลามาต้มให้เดือด และพักไว้
4.ผสมไข่ไก่และน้ำตาลทรายในชามผสมให้เข้ากัน
5.ค่อย ๆ เทนมที่มีกลิ่นวานิลลาลงไปผสมกับไข่ไก่และน้ำตาลทราย เททีละนิดก่อน มิฉะนั้นไข่จะสุกและกลายเป็นไข่กวน
6.เติมเกลือป่น 1 หยิบมือ ใส่ลงไปในส่วนผสมนมและไข่
7.ค่อย ๆ เทส่วนผสมนี้ลงไปในถ้วยที่ได้เตรียมไว้แล้ว (ถ้วยที่มีน้ำตาลไหม้เคลือบอยู่)
8.นำถ้วยเหล่านี้มาวางในถาดที่มีขอบสูง และเทน้ำร้อนลงไปในถาด ให้ระดับน้ำสูงเท่ากับระดับส่วนผสมในถ้วย
9.นำถาดตั้งไฟให้ร้อน และเริ่มเดือด จึงนำถาดไปใส่ในเตา อบถ้วยขนมในถาดนาน 40 นาที หรือจนกระทั่งคัสตาร์ดสุก
10.นำถาดออกมาจากเตาอบ ยกถ้วยขนมในถาดออก พักให้เย็นสนิท และแช่ในตู้เย็นให้เย็น
11.เวลาเสิร์ฟ นำถ้วยขนมออกจากตู้เย็น กรีดขอบข้างในถ้วยด้วยมีด และนำจานมาคว่ำ และเคาะขนมออกจากพิมพ์ โดยหงายจานกลับขึ้น ชิ้นคัสตาร์ดก็จะหลุดจากพิมพ์ลงมาอยู่บนจาน และมีคาราเมลไหลเยิ้มลงมาจากด้านบน ดูสวยงามน่ารับประทาน หรือเสิร์ฟพร้อมฟรุ๊ตสลัด


ที่มา: http://bit.ly/ihOr7p