วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร้านอาหาร: บ้านลุงชวนสวนป้าติ๋ว

ชื่อบทความ: อิ่มสำราญ ณ บ้านลุงชวนสวนป้าติ๋ว โดย ‘TOURDEFOODBLOG’
ที่มาบทความ: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


วันนี้ TOURDEFOODBLOG พามากินไกลจากกรุงเทพฯ สักเล็กน้อย มาอิ่มหนำสำราญกันที่กาญจนบุรี

นี่เป็นร้านอาหารดังของกาญจนบุรี ตั้งอยู่ปากซอยทางเข้าสะพานแม่น้ำแคว หาไม่ยากครับ พวกเราแวะมาทานในช่วงบ่ายของวันเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ แรกกลัวว่าจะยังไม่เปิด แต่โชคดีที่ร้านเปิดตั้งแต่ 11.00 น. แล้วลากยาวไปจนถึง 22.00 น.

ร้านตกแต่งสไตล์บ้านสวนร่มรื่น เขียวครึ้มด้วยไม้ยืนต้น ไม้ประดับ มีแนวธารน้ำและน้ำตกประดิษฐ์ เราจะได้ยินเสียงน้ำไหลคอยขับสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา ทั้งยังมีประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาประดับอยู่หลายจุด คอยปิดมุมต่างๆ เสริมความลงตัว

นอกจากนี้โครงสร้างของร้านผสมผสานการใช้ปูนเปลือย ไม้ หลังคามีทั้งจาก และสังกะสี แม้จะตกแต่งสไตล์ตามใจฉัน แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และดูเป็นมิตรที่จริงใจ

เราไปกัน 4 คน สั่งอาหารไปไม่มากไม่น้อย รวมแล้ว 6 จาน สั่งตามใจบ้าง ตามคำแนะนำของพนักงานบ้าง อาหารที่นี่ไม่ต้องรอนานนัก ทยอยมาในช่วงเวลากำลังดี ขอเริ่มตามลำดับจานที่ลงเสิร์ฟ


จานแรกคือ น้ำพริกสะเปะสะปะ + ไข่ต้มยางมะตูม นี่ถือเป็นเมนูแนะนำของทางร้าน จัดลงจานดูอึดอัดไปหน่อย ส่วนหน้าตารสชาติคล้ายน้ำพริกหนุ่ม แต่รสเผ็ดดุดันกว่ามาก บอกไม่ได้ว่ามีผักและพริกอะไรในน้ำพริกบ้าง เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าสะเปะสะปะ ซึ่งเป็นสูตรของทางร้าน นอกจากรสเผ็ดดุดันแล้ว ยังเด่นในเรื่องของกลิ่นหอมของพริกที่ผ่านการย่าง ทานพร้อมกับไข่ต้มยางมะตูมเข้ารสกันดี แม้จะรู้สึกว่าน้ำพริกจืดไปบ้าง แต่ก็ชอบครับ กลิ่นหอมกรุ่นอยู่ในปาก อร่อยดี นอกจากนี้ในจานยังมีผักสดอย่าง แตงกวา ถั่วพลู ถั่วฝักยาว ผักกวางตุ้งลวกพันมาพอดีคำ บวบลวก มะเขือลวก


จานต่อมาเป็น ลาบหมู อันนี้ก็คล้ายร้านทั่วไป แต่รสเผ็ดนำมาเลย เค็มเปรี้ยวกำลังดี แต่ที่แปลกกว่าที่อื่นเห็นจะเป็นการใส่กระเทียมหั่นตามขวางด้วย ซึ่งถ้าใครชอบกระเทียมแล้วล่ะก็ คงไม่ผิดหวัง เพิ่มกลิ่นเพิ่มรสร้อนแรงได้ดีทีเดียว จานนี้เสริฟ์มาพร้อมกับผักสดที่จัดให้มาค่อนข้างเยอะ ทั้งกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว โหระพา


จานที่ 3 เป็นจานแนะนำของทางร้านคือ ไข่เจียวลุงชวน จานเล็กน่ารัก เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสพริก และพริกน้ำปลา โดยจานนี้คล้ายไข่ยัดไส้ เสิร์ฟมาเป็นรูปวงกลมพับครึ่ง ไส้ประกอบด้วยหัวไช้โป้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก มีพริกชี้ฟ้าเม็ดใหญ่เอาเม็ดออกซอยเป็นแว่น และมีใบโหระพาซึ่งให้กลิ่นนำมาเมื่อตักจ่อปาก แต่รสชาติเด่นๆ จะอยู่ที่ไข่และหัวไช้โป้ว ทานกับข้าวสวยร้อนอร่อยมากครับ


ถัดมาเป็นต้มยำปลาช่อนรสแซ่บ ถ้วยนี้เป็นน้ำใสครับ ชามดูจะเล็กเกินของที่ใส่ แม้จะแน่นไป แต่นั่นก็ทำให้เห็นเนื้อปลาได้ถนัดตา ชิมน้ำซุปคำแรกแล้วเข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีรสแซ่บต่อท้าย เพราะรสจัดจ้านมาก เปรี้ยว เค็ม และเผ็ดหอมพริกขี้หนู ปลาช่อนก็สดไม่มีคาว เนื้อขาวสวย เห็นนั้นเป็นเห็ดนางฟ้าซึ่งเสียดายว่าใส่มาน้อยไปหน่อย เพราะทานตอนชุ่มน้ำซุปนั้นสะใจทีเดียว


ต่อมาเป็น ปลาทับทิมทอดขมิ้น ซึ่งทอดจนกรอบเหลือง ทั้งโรยกระเทียมทอดขมิ้นจนเต็ม กลิ่นขมิ้นโชยมาตอนตักแซะเนื้อปลา ทานกับกระเทียมหอม อร่อยมากครับ น้ำจิ้มเป็นพริกน้ำปลามะนาวมีกระเทียม แต่ผมขอน้ำจิ้มทะเลมาเพิ่ม โดยน้ำจิ้มทะเลหรือซีฟู้ดนั้นรสเปรี้ยวเผ็ดจัดจ้านมาก แต่จานนี้ไม่ต้องจิ้มก็อร่อยแล้ว


จานสุดท้าย ขอออกตัวว่าชอบและปลื้มทีเดียว กับห่อหมกปิ้ง ก่อนสั่งนั้นพนักงานร้านบอกแล้วว่า จานนี้รอนาน ซึ่งเราก็ยินดีรอ แล้วก็ไม่ผิดหวัง อวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศอย่างใบมะกรูด ใบชะพลู กับเครื่องแกงห่อหมกรสชาติดี เข้าใจว่าเขาใช้ใบตองห่อแล้วนำไปย่างไฟอ่อนๆ จนสุกเป็นสีส้มอย่างที่เห็น บางจุดจะเห็นว่ามีรอยไหม้นิดๆ ซึ่งน่าจะเกิดตอนแกะใบตองออก รสชาตินั้นเค็มไม่มาก รสเผ็ดฉุนเครื่อง มีความมันจากกะทิ ทั้งใบมะกรูดซอยก็ขับกลิ่นโชย ด้านใบชะพลูรองอยู่ข้างใต้ รสไม่ชัดเจนนัก แต่เด่นที่กลิ่น ทานกับข้าวสวยแล้วติดใจ

ราคาอาหารนั้นไม่แพงเลย เฉลี่ยอยู่ประมาณจานละ 100 บาท มีจานไข่เจียว กับลาบหมูที่จานละ 70 และ 80 บาทตามลำดับ ขณะที่ปลาทับทิม 150 บาท

แม้ระหว่างรับประทานเราจะพบปัญหาของความที่เป็นธรรมชาติมากของร้าน ด้วยมีแมลงวันโผล่มากวนใจ ซึ่งน่าแปลกเพราะแรกเราคิดว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องยุงมากกว่า แต่ก็เปล่า กระนั้นเมื่อทางร้านเห็นเราปัดไล่แมลงวัน ก็ได้เดินเครื่องสร้างไอน้ำ ซึ่งนอกจากไล่แมลงวันแล้ว ยังช่วยให้เย็นสบายดีอีกด้วย ด้านบริการค่อนข้างดี น้ำเติม ข้าวเติมมิได้ขาด พูดจาดีด้วย เรียกว่าเป็นมื้อที่สมบูรณ์พร้อมมื้อหนึ่ง อิ่มกันถ้วนหน้า


ถ้ามีโอกาสมากาญจนบุรีอีก ผมก็ยังจะมาร้านนี้แน่นอน



(ติดตามเรื่องเก่า ๆ ได้ที่ http://www.tourdefoodblog.com/ หรือที่เฟซบุค http://www.facebook.com/TourDeFoodBlog)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น