วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร้านอาหาร: "ร้านน้องเนย"


ใกล้ถึงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีร้านอาหารสำหรับครอบครัวมาแนะนำ รับรองเต็มอิ่มไปด้วยปริมาณและคุณภาพ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากใจกลางกรุงเทพฯ ร้าน "น้องเนย ซีฟู๊ด" อยู่หลังเซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 2 ติดกับทะเลสาบในสวนสาธารณะ วิวดี ลมเย็น สบาย มีคนเดินวิ่งออกกำลังกายอยู่รอบๆ


อาหารก็อร่อยและไม่แพงมากเหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ มีเมนูสำหรับเด็กๆ อย่าง ทอดมันกุ้ง นับ 10 ชิ้นใน 1 จาน ตามด้วยกุ้งทอดครีมสลัด มีตัวกุ้งชุบแป้งทอดนอนตัวงอเกาะขอบจานล้อมผักโรยด้วยน้ำครีมสลัด ดึงดูดใจเด็กๆได้เป็นอย่างดี รสชาติอร่อยถูกใจกินง่ายไม่เผ็ดไม่ร้อน


สำหรับผู้ใหญ่มีเมนูแนะนะ "ห่อหมกมะพร้าวอ่อน" "แกงส้มยอดฟักแม้วกับปลาช่อนทอด" หรือ "ปลาหมึกนึ่งมะนาว" รสชาติจัดจ้านกินกับข้าวสวยรับรองเจริญอาหารกันทีเดียวและมีผักมาแซมมาใน เมนูด้วย และอีกเมนูที่กินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส้มตำปลาช่อนทอด รสชาติกลมกล่อมอร่อยแบบเบาๆ กระเป๋าไม่แบน แฟนก็ไม่ทิ้งด้วย


ใครที่สนใจจะพาครอบครัวไปอิ่มอร่อยแบบหนักๆในราคาเบาๆ ลองแวะไปชิมอาหารที่ร้านน้องเนยรับรองไม่ผิดหวัง



ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์
ชื่อบทความ: "พักผ่อนหย่อนพุง"ยกโขยงอิ่มทั้งครอบครัวกับ "ร้านน้องเนย"
บทความโดย: พี่พุงหลามกับน้องพุงล้น

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"จาจังเมียน" บะหมี่ดำอาหารดังจากละครเกาหลี: ร้าน "บุกกยอง"


"บะหมี่ดำ" อาหารที่พบเห็นบ่อยครั้งในซีรีย์ภาพยนตร์เกาหลีดังหลายๆ เรื่อง นำมาประกอบฉาก เส้นหมี่สีเหลืองเกลือกกลิ้งอยู่ในซอสสีดำ จนเส้น "ดำปี๋" ดูหน้าตาไม่น่ารับประทานเท่าไร เมนูที่ว่านี้คือ "จาจังเมียน" หรือ "บะหมี่ดำ" ในเมืองไทยหากินไม่ยาก มีขายตามร้านอาหารเกาหลีที่เปิดขายในย่าน "korean town" ถนนสุขุมวิท และมีมากหมายหลากหลายร้านให้เลือกกิน

แต่จะหาอร่อยถูกปากคนไทยนั้นยากกว่า หลังจากตระเวนหาร้านที่ปรุง "จาจังเมียน" ที่อร่อยอยู่นาน เพื่อนพุงกลมที่เป็นคนไทยสันทัดด้านเกาหลีพอสมควร แนะนำให้ไปลองชิมร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในซอยสุขุมวิท 19 ย่านอโศก เป็นร้านเล็ก ชื่อว่า "CHINESE RESTAURANT MANDARIN"หรือ "บุกกยอง" ในภาษาเกาหลี ตั้งอยู่หลังห้างโรบินสัน ประมาณ 100 กว่าเมตร จากหน้าปากซอยอยู่ทางซ้ายมือ ถัดจากร้าน "แฟมิลี่ มาร์ท" ห้องที่ 4


"จาจังเมียน"

ร้านบุกกยองเป็นร้านอาหาร "จีนสไตล์เกาหลี" เปิดขายที่นี่มากว่า 15 ปีแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวโสมที่ประกอบธุรกิจอยู่ในย่านนั้น และจะมีลูกค้าคนไทยบ้าง ที่เพื่อนชาวเกาหลีแนะนำมารับประทาน อย่างเมนู "จาจังเมียน" กลายเป็นอาหารยอดฮิตของร้าน ซึ่งความจริงแล้ว "จาจังเมียน" เป็นอาหารจีน แต่คนเกาหลีนิยมกิน ก็เหมือนกับ "ติ่มซำ" ขายในย่านไชน่าทาวน์บ้านเรานี่แหละ



"จาจังเมียน" หรือ บะหมี่ดำขายดีที่สุด และถัดมาคือ "จัมปง" เมนูเส้นเหมือนกัน แต่ต่างกันที่เครื่องปรุง วัตถุดิบ ที่ใส่มาในชาม ทั้งสองอย่างนี้ลูกค้าที่ได้มาชิมจะชื่นชอบกันมาก เพราะ เส้นบะหมี่ที่เหนียวนุ่ม รสชาติที่กลมกล่อม เสิร์ฟร้อนๆ ราดน้ำซอสสีดำเข้ม เมื่อคลุกเคล้าให้เข้ากัน เส้นสีเหลีองจะกลายเป็นสีดำในทันที และเมื่อตักเส้นเข้าปากจะรับรู้ถึงรสชาติที่อร่อย นุ่มลิ้น โดยเฉพาะเส้นบะหมี่เมื่อเทียบกับร้านอื่นที่เคยไปชิมเส้นบะหมี่จะแข็งกว่า


เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่เส้นบะหมี่นี่เอง เพราะที่ร้านจะนำวัตถุดิบทั้งหมดมาจากเกาหลีโดยตรง สำหรับเส้นที่เหนียวนุ่มก็ทำเองแบบสดใหม่ทุกวัน ไม่ใช่เส้นสำเร็จรูปแบบร้านทั่วไป ดังนั้นไม่ว่าจะมาปรุงเส้นเป็นเมนูไหนก็อร่อยไม่แพ้กัน ถ้าใครไม่ชอบสีดำก็ลองสั่ง "จัมปง" มาชิมดูคล้ายๆกับต้มยำที่มี กุ้ง ปลาหมึก เป็นส่วนประกอบ แต่ไม่เผ็ด


"จัมปง"

ทางร้านยังแนะนำเมนูสำหรับคนไทย ไก่-หมู ผัด (เปรี้ยว หวาน เผ็ด) 3 รสชาติในจานเดียว ที่บอกว่าคนไทยชอบกินนั่นเห็นจะเป็นเรื่องจริง พอหลังจากพนักงานยกมาเสิร์ฟ กลิ่นเครื่องเทศลอยมาแต่ไกล หอมกรุ่น พร้อมกับควันลอยเหนือจานอาหาร ทั้งรูป รส กลิ่น สัมผัส ชวนน้ำลายไหลทีเดียว น่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง เนื้อไก่ชุบแป้งทอด ผัดกับเครื่องเทศ รสอมเปรี้ยวอมหวาน มีถั่วลันเตา พริกหวาน แครอท พริกทอด ใช้ผัดคลุกเคล้าเนื้อไก่หรือเนื้อหมู แต่เนื้อไก่จะแห้งกว่าเนื้อหมู เป็นสูตรของที่้ร้าน



ส่วน "เชฟ "มือปรุงอาหารจานเด็ดนำเข้ามาจากเกาหลี เช่นเดียวกับวัตถุดิบอื่นๆ เช่นกัน


สำหรับร้าน "บุกกยอง" เป็นห้องแถว 1 คูหา แบ่งชั้นล่างเป็นห้องอาหารจัดเรียงโต๊ะละ 4-6 คน ส่วนชั้นบนเป็นห้องจัดเลี้ยง สำหรับลูกค้าที่มากันหลายคน นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการส่งถึงบ้าน เสียค่าส่ง 20 บาท แต่จำกัดเฉพาะพื้นที่ อโศก รัชดา เอกมัย และสีลม เท่านั้น ใครสนใจสามารถโทรไปสั่งได้ที่เบอร์ 085-939-3886,02-253-5052-3


ที่สำคัญเจ้าของร้านนี้ใจดี สั่งมากกว่า 4 เมนูจะได้เกี๊ยวทอดกินฟรี 1 จาน ผลไม้ 1 จาน และในวันนั้นพวกเราพี่น้องพุงล้นหลาม ประกอบกับเพื่อนพุงกลม น้องพุงกาง จัดชุดใหญ่มาหม่ำกันเต็มโต๊ะจึงได้กินเกี๊ยวทอดฟรีและแตงโมฟรี!! อีกด้วย


"อาจูม่า" ยังใจดีมีส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าคอลัมน์ "พักผ่อนหย่อนพุง" หากบอกว่ามาจาก "เว็บไซต์มติชนออนไลน์" จะได้รับส่วนลดทันที 10 % แต่ราคาอาหารไม่แพงเลยอย่าง "จาจังเมียน" ขายชามละ 160 บาท กินได้ 2 คน เพราะชามใหญ่มาก




ที่มาบทความ: มติชนออนไลน์(วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 09:00:00 น.)
ชื่อบทความ: "พักผ่อนหย่อนพุง"ตามล่าหา "จาจังเมียน" บะหมี่ดำอาหารดังจากละครเกาหลีหากินที่ไหน ?
บทความโดย: พี่พุงหลามกับน้องพุงล้น


เครื่องเคียงฟรี


ร้าน "บุกกยอง"


สูตรเด็ด น้ำผักผลไม้บำรุงสายตา

น้ำดื่มสูตรที่ช่วยบำรุงสายตา จากผักและผลไม้ที่หาได้ไม่ยาก ราคาก็ไม่แพง โดยสูตรนี้เลือกใช้ ผักและผลไม้ 4 ชนิด อย่าง แครอต แคนตาลูป หัวไช้เท้า และผักกาดหอม ซึ่งคุณค่าของผักและผลไม้เหล่านี้ช่วยเสริมเติมเต็มความแข็งแรงให้ดวงตา

อย่าง 'แครอต' อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน หากสกัดเป็นน้ำยังจะมีซัลเฟอร์ และคลอรีน ล้วนแล้วแต่ดีต่อสายตา รวมกับคุณค่าของ 'แคนตาลูป' ที่เปี่ยมไปด้วยกรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกำมะถัน พร้อม 'หัวไช้เท้า' ซึ่มีวิตามินเอ แคลเซียม ไนอาซิน ช่วยล้างพิษได้ดี แถมท้ายด้วย 'ผักกาดหอม' มีแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้แข็งแรง

ก่อนลงมือทำ เตรียมผักและผลไม้ตามส่วนต่อไปนี้..

* หัวไช้เท้า ครึ่งถ้วย
* ผักกาดหอม 1 ถ้วย
* แครอต 1 ถ้วย
* แคนตาลูป 2 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้หั่นหัวไช้เท้าและผักกาดหอมเป็นชิ้นหยาบๆ ส่วนแครอตให้ขูดออกเป็นเส้นเล็กๆ ขณะที่แคนตาลูปหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที หรือจะเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นก็ได้.


ที่มาข้อมูล: เดลินิวส์ออนไลน์
ข้อมูลโดย: ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ takecareDD@gmail.com

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร้านอาหาร: บ้านลุงชวนสวนป้าติ๋ว

ชื่อบทความ: อิ่มสำราญ ณ บ้านลุงชวนสวนป้าติ๋ว โดย ‘TOURDEFOODBLOG’
ที่มาบทความ: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


วันนี้ TOURDEFOODBLOG พามากินไกลจากกรุงเทพฯ สักเล็กน้อย มาอิ่มหนำสำราญกันที่กาญจนบุรี

นี่เป็นร้านอาหารดังของกาญจนบุรี ตั้งอยู่ปากซอยทางเข้าสะพานแม่น้ำแคว หาไม่ยากครับ พวกเราแวะมาทานในช่วงบ่ายของวันเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ แรกกลัวว่าจะยังไม่เปิด แต่โชคดีที่ร้านเปิดตั้งแต่ 11.00 น. แล้วลากยาวไปจนถึง 22.00 น.

ร้านตกแต่งสไตล์บ้านสวนร่มรื่น เขียวครึ้มด้วยไม้ยืนต้น ไม้ประดับ มีแนวธารน้ำและน้ำตกประดิษฐ์ เราจะได้ยินเสียงน้ำไหลคอยขับสร้างบรรยากาศให้มีชีวิตชีวา ทั้งยังมีประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาประดับอยู่หลายจุด คอยปิดมุมต่างๆ เสริมความลงตัว

นอกจากนี้โครงสร้างของร้านผสมผสานการใช้ปูนเปลือย ไม้ หลังคามีทั้งจาก และสังกะสี แม้จะตกแต่งสไตล์ตามใจฉัน แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ และดูเป็นมิตรที่จริงใจ

เราไปกัน 4 คน สั่งอาหารไปไม่มากไม่น้อย รวมแล้ว 6 จาน สั่งตามใจบ้าง ตามคำแนะนำของพนักงานบ้าง อาหารที่นี่ไม่ต้องรอนานนัก ทยอยมาในช่วงเวลากำลังดี ขอเริ่มตามลำดับจานที่ลงเสิร์ฟ


จานแรกคือ น้ำพริกสะเปะสะปะ + ไข่ต้มยางมะตูม นี่ถือเป็นเมนูแนะนำของทางร้าน จัดลงจานดูอึดอัดไปหน่อย ส่วนหน้าตารสชาติคล้ายน้ำพริกหนุ่ม แต่รสเผ็ดดุดันกว่ามาก บอกไม่ได้ว่ามีผักและพริกอะไรในน้ำพริกบ้าง เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าสะเปะสะปะ ซึ่งเป็นสูตรของทางร้าน นอกจากรสเผ็ดดุดันแล้ว ยังเด่นในเรื่องของกลิ่นหอมของพริกที่ผ่านการย่าง ทานพร้อมกับไข่ต้มยางมะตูมเข้ารสกันดี แม้จะรู้สึกว่าน้ำพริกจืดไปบ้าง แต่ก็ชอบครับ กลิ่นหอมกรุ่นอยู่ในปาก อร่อยดี นอกจากนี้ในจานยังมีผักสดอย่าง แตงกวา ถั่วพลู ถั่วฝักยาว ผักกวางตุ้งลวกพันมาพอดีคำ บวบลวก มะเขือลวก


จานต่อมาเป็น ลาบหมู อันนี้ก็คล้ายร้านทั่วไป แต่รสเผ็ดนำมาเลย เค็มเปรี้ยวกำลังดี แต่ที่แปลกกว่าที่อื่นเห็นจะเป็นการใส่กระเทียมหั่นตามขวางด้วย ซึ่งถ้าใครชอบกระเทียมแล้วล่ะก็ คงไม่ผิดหวัง เพิ่มกลิ่นเพิ่มรสร้อนแรงได้ดีทีเดียว จานนี้เสริฟ์มาพร้อมกับผักสดที่จัดให้มาค่อนข้างเยอะ ทั้งกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว โหระพา


จานที่ 3 เป็นจานแนะนำของทางร้านคือ ไข่เจียวลุงชวน จานเล็กน่ารัก เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสพริก และพริกน้ำปลา โดยจานนี้คล้ายไข่ยัดไส้ เสิร์ฟมาเป็นรูปวงกลมพับครึ่ง ไส้ประกอบด้วยหัวไช้โป้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก มีพริกชี้ฟ้าเม็ดใหญ่เอาเม็ดออกซอยเป็นแว่น และมีใบโหระพาซึ่งให้กลิ่นนำมาเมื่อตักจ่อปาก แต่รสชาติเด่นๆ จะอยู่ที่ไข่และหัวไช้โป้ว ทานกับข้าวสวยร้อนอร่อยมากครับ


ถัดมาเป็นต้มยำปลาช่อนรสแซ่บ ถ้วยนี้เป็นน้ำใสครับ ชามดูจะเล็กเกินของที่ใส่ แม้จะแน่นไป แต่นั่นก็ทำให้เห็นเนื้อปลาได้ถนัดตา ชิมน้ำซุปคำแรกแล้วเข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีรสแซ่บต่อท้าย เพราะรสจัดจ้านมาก เปรี้ยว เค็ม และเผ็ดหอมพริกขี้หนู ปลาช่อนก็สดไม่มีคาว เนื้อขาวสวย เห็นนั้นเป็นเห็ดนางฟ้าซึ่งเสียดายว่าใส่มาน้อยไปหน่อย เพราะทานตอนชุ่มน้ำซุปนั้นสะใจทีเดียว


ต่อมาเป็น ปลาทับทิมทอดขมิ้น ซึ่งทอดจนกรอบเหลือง ทั้งโรยกระเทียมทอดขมิ้นจนเต็ม กลิ่นขมิ้นโชยมาตอนตักแซะเนื้อปลา ทานกับกระเทียมหอม อร่อยมากครับ น้ำจิ้มเป็นพริกน้ำปลามะนาวมีกระเทียม แต่ผมขอน้ำจิ้มทะเลมาเพิ่ม โดยน้ำจิ้มทะเลหรือซีฟู้ดนั้นรสเปรี้ยวเผ็ดจัดจ้านมาก แต่จานนี้ไม่ต้องจิ้มก็อร่อยแล้ว


จานสุดท้าย ขอออกตัวว่าชอบและปลื้มทีเดียว กับห่อหมกปิ้ง ก่อนสั่งนั้นพนักงานร้านบอกแล้วว่า จานนี้รอนาน ซึ่งเราก็ยินดีรอ แล้วก็ไม่ผิดหวัง อวลด้วยกลิ่นเครื่องเทศอย่างใบมะกรูด ใบชะพลู กับเครื่องแกงห่อหมกรสชาติดี เข้าใจว่าเขาใช้ใบตองห่อแล้วนำไปย่างไฟอ่อนๆ จนสุกเป็นสีส้มอย่างที่เห็น บางจุดจะเห็นว่ามีรอยไหม้นิดๆ ซึ่งน่าจะเกิดตอนแกะใบตองออก รสชาตินั้นเค็มไม่มาก รสเผ็ดฉุนเครื่อง มีความมันจากกะทิ ทั้งใบมะกรูดซอยก็ขับกลิ่นโชย ด้านใบชะพลูรองอยู่ข้างใต้ รสไม่ชัดเจนนัก แต่เด่นที่กลิ่น ทานกับข้าวสวยแล้วติดใจ

ราคาอาหารนั้นไม่แพงเลย เฉลี่ยอยู่ประมาณจานละ 100 บาท มีจานไข่เจียว กับลาบหมูที่จานละ 70 และ 80 บาทตามลำดับ ขณะที่ปลาทับทิม 150 บาท

แม้ระหว่างรับประทานเราจะพบปัญหาของความที่เป็นธรรมชาติมากของร้าน ด้วยมีแมลงวันโผล่มากวนใจ ซึ่งน่าแปลกเพราะแรกเราคิดว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องยุงมากกว่า แต่ก็เปล่า กระนั้นเมื่อทางร้านเห็นเราปัดไล่แมลงวัน ก็ได้เดินเครื่องสร้างไอน้ำ ซึ่งนอกจากไล่แมลงวันแล้ว ยังช่วยให้เย็นสบายดีอีกด้วย ด้านบริการค่อนข้างดี น้ำเติม ข้าวเติมมิได้ขาด พูดจาดีด้วย เรียกว่าเป็นมื้อที่สมบูรณ์พร้อมมื้อหนึ่ง อิ่มกันถ้วนหน้า


ถ้ามีโอกาสมากาญจนบุรีอีก ผมก็ยังจะมาร้านนี้แน่นอน



(ติดตามเรื่องเก่า ๆ ได้ที่ http://www.tourdefoodblog.com/ หรือที่เฟซบุค http://www.facebook.com/TourDeFoodBlog)

แกงเผ็ดเป็ดย่าง


เมนูนี้เป็นอาหารไทยที่ทำได้ง่ายๆ เหมาะกับคุณพ่อคุณแม่บ้านที่รักการทำอาหาร หรือจะเป็นหนุ่มสาวที่เป็นมือใหม่หัดแกงก็ได้เหมือนกัน แถมยังอร่อยถูกปากทุกคนอีกด้วยครับ

เป็ดย่าง ได้ยินชื่อมาก็อยากกินเสียแล้วครับ เป็ดนุ่มๆ ย่างมาจนหอมและหนังกรอบ เมื่อเอามาผสานกับความเข้มข้นของแกงเผ็ด ที่เลือกใช้กะทิที่ดีที่สุด (ช่วงนี้แพงนะครับ แต่อยากกินของอร่อยก็ต้องไม่หวั่น) กับพริกแกงแสนเผ็ดร้อน กินกับข้าวสวยแล้วจะลงไปนอนกลิ้งแล้วดิ้นพราดๆ ปานนั้นเชียว เสียหน่อยที่ไม่ได้ตำพริกแกงเอง แต่ถ้าอยากลองตำเองก็ลองหาสูตรตามตำราก็ได้ครับ มีให้เลือกใช้มากมาย

แกงเผ็ดสูตรนี้ ผมเลือกใช้มะเขือเทศเชอร์รี่กับองุ่นแดงที่รสชาติไปกับแกงได้ดีทีเดียว แถมยังลูกเล็กกินง่ายอีกด้วย พูดถึงผลไม้ที่ใช้ในแกงเผ็ด จริงๆ ก็ไม่ได้บังคับนะครับ จะเป็นสับปะรด ลิ้นจี่ หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น สำคัญที่ว่าให้รสออกเปรี้ยวหวานจะดีที่สุด ส่วนเรื่องของกะทินั้นก็ตามชอบครับ บางคนชอบข้นหน่อยก็ใส่หัวกะทิมาก ลดหางกะทิลง บางคนชอบมันลอยมากๆ ก็ผัดให้แตกมันมากๆ แกงกะทิบ้านเราไม่มีสูตรตายตัวครับ

แล้วอีกอย่าง แกงนี้ จะซอยใบมะกรูดให้เป็นเส้นเล็กๆ เลยนะครับ เป็นเครื่องตกแต่งน่ารักๆ แถมยังสามารถกินได้ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าใครมีดไม่คม ลืมลับ ซอยไม่เก่งพอ หรือกลัวเล็บบิ่น จะฉีกใบมะกรูดแบบธรรมดาใส่ลงไปตั้งแต่ตอนแกงบนเตาเลยก็ได้ครับ อย่าลืมขยำใบมะกรูดก่อนใส่ลงไปด้วย กลิ่นจะได้ออกมาหอมๆ ครับ

แกงเผ็ดเป็ดย่าง (สำหรับ 6 ที่)

น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำพริกแกงเผ็ด 100 กรัม (ระวังก่อนใส่นะครับ พริกแกงแต่ละเจ้าเผ็ดไม่เท่ากัน ถ้ากลัวเผ็ดเอาแค่ครึ่งเดียวก็ได้ครับ)

หัวกะทิ 250 กรัม

หางกะทิ 600 กรัม

น้ำปลา น้ำตาลปึก กะเอา (ใส่ประมาณอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะไปก่อนแล้วชิม)

เป็ดย่าง เลาะกระดูก หั่นเป็นชิ้นพอคำ 1/2 ตัว

องุ่นแดงไม่มีเมล็ด 20 ลูก

มะเขือเทศเชอร์รี่ 20 ลูก

พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง 2 เม็ด

ใบโหระพาเด็ดเอาแต่ใบ 1/2 ถ้วย

ใบมะกรูดซอยละเอียดเป็นเส้นบางๆ 6 ใบ

วิธีทำ

1. ตั้งกระทะหรือหม้อผัดให้ร้อน ใส่น้ำมันลงไป ผัดพริกแกงให้หอมดี เติมหัวกะทิลงไปแล้วผัดต่อไปจนกะทิแตกมันตามชอบ ถ้าชอบให้แตกมันมากก็ผัดนานหน่อย

2. เติมหางกะทิิลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลปึก เคี่ยวต่อไปสักครู่ แล้วเติมเป็ดย่างที่หั่นไว้แล้วลงไป ชิมรสแล้วปรุงให้ได้ที่

3. ใส่องุ่นและมะเขือเทศ คนให้พอเข้ากัน

4. ใส่ใบโหระพาและพริกชี้ฟ้าลงไป คนเล็กน้อย ปิดไฟยกลงจากเตา

5. ตักใส่ชาม โรยด้วยใบมะกรูดซอยละเอียดด้านบนให้พอสวยงาม กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือขนมจีนตามชอบ


ที่มาบทความ: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ชื่อบทความ: แกงเผ็ดเป็ดย่าง กินกับข้าวสวยแล้วจะลงไปนอนกลิ้ง Recipe by TOURDEFOODBLOG
ติดตามเมนูอื่น ๆ ได้ที่ http://www.tourdefoodblog.com/ หรือที่เฟซบุค http://www.facebook.com/TourDeFoodBlog

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“Black Swan” กับเมนู Chocolate and Banana Meringue Pie




“Black Swan” กับเมนู Chocolate and Banana Meringue Pie

( หมายเหตุ นับเนื่องจากนี้ไปทุกวัน ก่อนจะมีการประกาศ รางวัล Oscars มติชนออนไลน์ จะนำเสนอ คอลัมน์ Road to the Oscars 2011 เมนูที่ได้รับแรงบันดาลจากภาพยนตร์ที่ส่งประกวดรางวัลออสการ์ ตอนแรก เชิญพบกับ Black Swan )

Black Swan : เมื่อ White Swan สัมผัสด้านมืดของตัวเอง

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เราขอเอามาเสนอในโปรเจค Road to the Oscars 2011 ก็คือเรื่อง Black Swan ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ที่เล่าเรื่องของนักแสดงบัลเล่ต์หญิง “นีน่า” (นาตาลี พอร์ตแมน) ของคณะบัลเล่ต์ในนิวยอร์คที่ต้องเข้าสู่วังวนของการแข่งขันเพื่อบทนำสำหรับ การเปิดการแสดงของฤดูกาลใหม่ภายใต้ธีมเรื่อง “Swan Lake” ภายหลังผู้กำกับ โธมา ลีรอย (แวนซองต์ แคสเซล) ตัดสินใจเปลี่ยนนักบัลเล่ต์ตัวชูโรงอย่าง เบ็ธ แม็คอินไทร์ (วิโนน่า ไรเดอร์)






แม้นีน่าจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกของลีรอย แต่ก็ต้องแข่งกับนักเต้นหน้าใหม่อย่างลิลลี่ (มิรา คูนิส) โดย Swan Lake ต้องการนักเต้นที่สามารถแสดงได้ทั้ง White Swan ที่มีความไร้เดียงสาและความงาม กับ Black Swan ซึ่งเป็นตัวแทนของการหลอกลวงและความหลงใหล

นีน่าเหมาะกับบท White Swan อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลิลลี่กลับมีลักษณะของ Black Swan การแข่งขันสืบเนื่องไปท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เป็นสัมพันธภาพอันผิดเพี้ยน นีน่าเริ่มเผลอเข้าสัมผัสด้านมืดของตัวเธอเอง และตกอยู่ในวังวนแห่งการขาดสติ ที่เปรียบเสมือนลางร้ายที่ทำลายตัวเธอเอง






นาตาลี พอร์ทแมน ได้คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงมาครองมาแล้ว รวมถึงรางวัลจากสมาคมภาพยนตร์อีกหลายแห่ง และที่สำคัญเธอเป็งเต็งจ๋าที่จะคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงจากเวทีออสการ์ใน ครั้งนี้

พูดถึงเรื่องหนังเสียยืดยาว อยากรู้กันแล้วใช่ไหมครับว่าเมนูนั้นคืออะไร

Chocolate and Banana Meringue Pie คือชื่อเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Black Swan ด้วยธีมเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เน้น ‘สีขาว-สีดำ’ อันมาจาก Black Swan และ White Swan ตามบัลเล่ต์เรื่อง Swan Lake ความสง่างามของบัลเลรีน่า ทำให้ผมนึกถึงของหวานอย่างเมอแรงก์ขึ้นมาเลยครับ จากคอนเซ็ปต์แรกนี้จึงคิดได้ว่าทำเป็นพายที่มีสีขาวและสีดำตัดกันน่าจะดูดี และตรงกับธีมของ Black Swan






สีขาวจากไข่ขาวที่ถูกตีจนขึ้นฟู เบาบาง อ่อนโยน ละเมียดละไม

วางเทียบกับสีดำทมิฬของคัสตาร์ดดาร์กช็อกโกแลตรสเข้มข้นที่เสริมความ ละมุนด้วยกล้วยหอมหั่นเต๋า และฐานพายที่ทำจากคุกกี้ช็อกโกแลต (ไม่ขอเน้นแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าโฆษณา 55) ความขัดแย้งที่ต่างกันสุดขั้วแต่ก็ลงตัวอย่างมาก เมื่อกินด้วยกันแล้วยิ่งอร่อยขึ้นใหญ่ เพราะไม่เน้นความหวานจนเกินไป อีกทั้งรสขมอ่อนๆ ก็ให้ความรู้สึกประหนึ่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้

ถึงกระนั้นก็เถอะนะครับ ท่ามกลางคอนเซ็ปต์สวยหรู แต่กลับปรากฏตำหนิตอนปฏิบัติจริง เพราะดันปล่อยให้พายอยู่ในเตานานไปครับ ทำให้เมอแรงก์ดูน้ำตาลเกินกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าผิวนอกของเมอแรงก์เป็นสีขาวมากกว่านี้จะทำให้เห็นสีขาว-ดำชัดเจนอีกเยอะ เลยครับ ยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ






เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับจากแรกของโปรเจค Oscars 2011 จาก TourDeFoodBlog วันพรุ่งนี้จะเป็นภาพยนตร์เรื่องไหน และจะให้แรงบันดาลใจผลิตออกเป็นเป็นอาหารหน้าตาอย่างไร อย่าลืมติดตามครับ!


Chocolate and Banana Merijavascript:void(0)ngue Pie (สำหรับพายขนาด 9 นิ้ว)




ส่วนฐาน
คุกกี้ช็อกโกแลต (โอรีโอ ครีมโอ ฯลฯ แล้วแต่ชอบครับ) เอาแต่ส่วนคุกกี้และบดจนละเอียด 220 กรัม หรือประมาณ 2 แถว
เนยจืด 100 กรัม
ส่วนคัสตาร์ด
นมสดรสจืด 3 ถ้วย
ดาร์กช็อกโกแลตสับหยาบๆ (ขมมาก-น้อยแล้วแต่ชอบ แต่เลือกยี่ห้อดีๆ มาใช้นะครับ) 113 กรัม หรือ 1 ห่อ
น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
แป้งสาลี 3 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
ไข่แดง 3 ฟอง
เนยจืดหั่นเป็นเต๋าเล็กๆ 30 กรัม
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
กล้วยหอมหั่นเป็นเต๋าเล็กๆ 200 กรัม
ส่วนเมอแรงก์
ไข่ขาว 3 ฟอง
น้ำตาล 1/3 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา
น้ำส้มไวน์ขาว 1 ช้อนชา






วิธีทำ
1. อุ่นเตาอบไว้ที่ 180°C

2. ทำฐาน: ผสมคุกกี้ช็อกโกแลตบดกับเนยจืดเข้าด้วยกัน และกรุลงฐานพายขนาด 9 นิ้วให้แน่นจนพื้นเรียบเสมอกันและด้านรอบสูงเท่าขอบพิมพ์ นำไปแช่ตู้เย็นจนฐานแข็งตัว

3. ทำคัสตาร์ด: ผสมนมและช็อกโกแลตเข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟและคนตลอดเวลาจนช็อกโกแลตละลายและนมร้อนจนเกือบเดือด ยกลงมาจากเตา พักไว้

4. ผสมน้ำตาล แป้งสาลี แป้งข้าวโพด และเกลือเข้าด้วยกัน เทไข่ลงไปผสมและตีจนเข้ากันดี ค่อยๆ รินส่วนของนมลงไปช้าๆ โดยใช้ตะกร้อมือตีไปพร้อมๆ กัน จนเข้ากันดี

5. เทส่วนผสมที่ตีผสมกันแล้วกลับลงหม้ออีกครั้ง นำกลับไปตั้งไฟอ่อนๆ และใช้ตะกร้อตีตลอดเวลาจนกระทั่งส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น เนื้อเนียน ยกลงจากเตา พักไว้ให้พออุ่น แล้วค่อยใส่เนยจืด วานิลลา และกล้วยหอมลงไป คนเบาๆ ให้กล้วยหอมกระจายทั่ว และเนยละลายจนหมด เทส่วนของคัสตาร์ดลงพิมพ์ เกลี่ยผิวด้านบนให้พอเรียบ

6. ทำเมอแรงก์: ตีไข่ขาวด้วยความเร็วปานกลางจนพอขึ้นฟอง ค่อยๆ ใส่น้ำตาลลงไปทีละช้อนโต๊ะและตีต่อไปด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งไข่ขาวเริ่มตั้งยอดอ่อน ใส่น้ำตาลไปเรื่อยๆ แล้วค่อยใส่แป้งข้าวโพด น้ำส้มไวน์ขาว ลงไปพร้อมๆ กับน้ำตาลชุดสุดท้าย ตีจนได้ยอดแข็ง แต่ไม่ต้องแข็งมากจนเกินไป

7. ตักเมอแรงก์ไว้ด้านบนของพาย เกลี่ยให้ทั่ว แล้วนำเข้าอบในเตาประมาณ 10 นาที จนผิวเมอแรงก์เหลืองดี (ถ้าอยากให้ยอดเหลือง ใช้ไฟแรงหน่อยและลดเวลาอบลง) ตัดเสิร์ฟได้ทันที






( เรื่อง โดย ‘TourDeFoodBlog’ ติดตามเรื่องเก่า ๆ ได้ที่ http://www.tourdefoodblog.com/ หรือที่เฟซบุค http://www.facebook.com/TourDeFoodBlog )
Source: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1298003006&grpid=01&catid=&subcatid=











วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โรคใหม่...ที่มากับการไดเอต


โรคใหม่...ที่มากับการไดเอต

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้หญิง ไขว่คว้าอยากได้คำแนะนำด้านความสวยความงามและการดูแลรูปร่างจากคนดัง
แค่มีข่าวว่าดาราคนไหนกำลังใช้เครื่องสำอางอะไร หรือกินเสริมอาหารตัวไหน สินค้าชิ้นนั้นจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

เดลี่เมล์รายงานว่า กระแสดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงวิธีการลดความอ้วนด้วย และวิธีการซึ่งกำลังเป็นที่ฮอตฮิตในหมู่สาวอังกฤษในขณะนี้ คือ "pure food diet" ซึ่งเน้นบริโภคอาหารบริสุทธิ์สะอาดปราศจากสารเจือปนหรือปรุงแต่งใด ๆ

ฟังดูก็เข้าท่าดี แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความคลั่งไคล้อาหารสุขภาพแนวนี้ไม่เพียงทำให้สุขภาพกายเสื่อมโทรมเท่านั้น จะคุกคามต่อสุขภาพจิตด้วย

โรคดังกล่าวมีชื่อว่า ออร์โทเร็กเซีย (orthorexia) ผู้มีอาการจะเฝ้าวิตกกังวลเรื่องสิ่งที่ตัวเองรับประทานเข้าไปคล้ายกับโรคอนอเร็กเซีย ต่างกันตรงที่ว่า โรคแรกจะเป็นการหมกมุ่นกับคุณภาพของอาหารจนทำให้ไม่ยอมบริโภคบางอย่าง ขณะที่โรคหลังนั้นให้ความสำคัญเรื่องปริมาณที่รับเข้าสู่ร่างกายเป็นหลัก

ผู้เป็นออร์โทเร็กเซียมักจะไม่ยอมกินสิ่งที่มีส่วนผสมของเกลือ น้ำตาล กาเฟอีน แอลกอฮอล์ ข้าวสาลี กลูเตน ยีสต์ ถั่วเหลือง หรือนม รวมถึงสารปรุงแต่งอย่างสีผสมอาหารหรือผงชูรส และรับไม่ได้อย่างยิ่งถ้ามียาฆ่าแมลงเจือปน

การยึดมั่นกับกฎเหล็กแบบ ไม่มีผ่อนปรนอาจนำไปสู่การปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นที่ภัตตาคารหรือบ้านเพื่อน ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างเสื่อมทรามลง

นักโภชนาการ เตือนว่า การตัดอาหารหมู่ใดหมู่หนึ่งหรือหลายหมู่ออกไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น โรคร้ายแรง และระบุด้วยว่าคำแนะนำของคนดังทำให้ผู้หญิงเกิดอาการวิตกจริตเรื่องรูปร่าง ของตนจนเข้าสู่เส้นทางของโรคออร์โทเร็กเซียโดยไม่รู้ตัว ลูซี่ โจนส์ จากสมาคมอาหารการกินแห่งอังกฤษกล่าวว่า "มีคำแนะนำใหม่ ๆ ว่าควรกินควรทำอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพโผล่ออกมาให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน"

"ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการหลายอย่างที่คาบเกี่ยวกับโรคย้ำคิดย้ำทำ เป้าหมายสำคัญอาจไม่ใช้เพิ่มความผอม แต่เพื่อคัดสรรอาหารที่มีคุณภาพสูงสุดให้ตัวเอง จริง ๆ แล้วไม่มีอาหารกลุ่มไหนสมควรถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และไม่ใช่เรื่องเลวร้ายถ้าจะกินอาหารขยะบ้างนาน ๆ ครั้ง" โจนส์เสริม

นอกจากวิธีการไดเอตแบบอาหารบริสุทธิ์แล้ว รูปแบบอื่น ๆ ที่นิยม ได้แก่ กินตามกรุ๊ปเลือดซึ่งเชอริล โคล เป็นแฟนตัวยง หลักการของยุทธวิธีนี้อ้างว่า แต่ละกรุ๊ปเลือดมีกระบวนการย่อยและดูดซึมสารอาหารแตกต่างกัน ดังนั้นอาหารที่เหมาะกับคนแต่ละหมู่เลือดจึงไม่เหมือนกัน หรือการล้างพิษด้วยน้ำเชื่อมมาร์เบิลที่มีสาวกอย่างบียอนเซ่ โนวส์ และ นาโอมิ แคมป์เบลล์ ผู้ใช้วิธีนี้ต้องบริโภคน้ำเชื่อมเป็นหลัก ทำให้ขาดทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย


Ref: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ (update: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 15:02:09 น.)

น้ำมันพืชแพงใช้อะไรแทนดี


น้ำมันพืชแพงใช้อะไรแทนดี

การขึ้นราคาน้ำมันพืช กระทรวงพาณิชย์จึงแก้ปัญหา
โดยนำน้ำมันปาล์มมาจำหน่ายให้กับปชช.ในราคาขวดละ 47 บาท

โดยสามารถซื้อได้ที่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด
มีเงื่อนไขคือจะต้องนำบัตรประชาชนมาลงทะเบียน
(ป้องกันการเวียนเทียนซื้อ)
และให้ซื้อได้ คนละ 2 ขวดเท่านั้น

ส่วนคน กทม เข้าใจว่าคงต้องนังรถไฟฟ้า (ประหยัดน้ำมัน)
ไปซื้อที่กระทรวงพาณิชย์เอา ค่าใช้จ่าย ไม่รวมอยู่ในราคา 47 บาท

อืม รัฐบาลคิดวิธิีแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ดูเพิ่มเติม
โดย: Phoenix Griffins
----------------------

ในสภาวะที่รัฐบาลมารค์มันบ้า มันเฮงซวย คนไทยต้องปรับตัว
ในเมื่อน้ำมันแพง ก็ทำน้ำมันหมูกินเอง ประหยัดกว่าเยอะ

จิงๆแล้ว น้ำมันหมู หรือ เนยแข็งที่เป็น ไขมันจากนม มันใช้ทำอาหารได้เหมือนน้ำมันพืชแหล่ะ

อย่างเนยแข็งเวลาเอาลงกะทะมันก็เป็น น้ำมันแล้ว
ที่ตปท เขาเอามาผัดกับหัวหอมใหญ่และเนื้อสัตว์หอม ใส่ซอสหอยนางรม
หอมหวลน่ารับประทานจะตายไป

กรณีเนยเทียม ทำมาจาก ไขมันปาลม์ -- นิยมใช้ทอด ทำขนมโรตี เวลาลงกะทะร้อนมันก็เป็น น้ำมันเหมือนกันใช้ทอดไข่ได้

เนยแข็งของแท้ทำมาจากไขมันจากนมสด ความจริงใช้ทำอาหารได้ทุกอย่างแหล่ะ แต่คนไทยไม่นิยม
ทั้งๆที่รสชาติ หอมอร่อยกว่าน้ำมันพืชเยอะ

น้ำมัน หมู - ก็เอามันหมูสีขาวๆมาหั่นชิ้นบางๆ แล้ว ตั้งไฟใส่กระทะทิ้งเอาไว้ เพื่อรีด เอาน้ำมันของมันออกมาใช้ ส่วนกากหมูเอามากินเล่นก็ได้

อาหารที่ใช้เนยแข็งทำ จัดว่าเป็นเมนูราคาแพงด้วยซ้ำไปเพราะเนยแข็ง ราคาแพงกว่าน้ำมันพืชมาก แต่ในสภาวะตอนนี้ เนยแข็ง กับ น้ำมันพืช มันราคาพอๆกันเลยนะ
คิดว่า ใช้เป็น ไขมันหมูที่ซื้อมา แล้วมาเจียวรีดน้ำมันเอง ถูกสุด

ความจริง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก(ที่ไม่ใช่แบบทาผิว) ใช้ทำอาหารได้เหมือนกัน ในห้างมันจะมีหลายราคามาก

กรณีน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันละหุ่ง ( ราคาแพงมหาศาลเลยแหล่ะ)

คิดว่า ซื้อน้ำมันถั่วเหลือง ยี่ห้อที่ถูกที่สุด และ สำรอง เนยแข็งไว้ก็พอมั๊ง
เพราะรัฐบาลไอ้มารค์ทำราคาสินค้าแพง
ตอนนี้ราคามันก็แถบจะพอๆกันแหล่ะ

เนยเทียม เขานิยมเอาทำขนมกันมากกว่า ( ไม่แนะนำ)
เนย แข็ง มีสารอาหารเยอะ ทำอาหารได้ทุกอย่าง ใครที่ชอบทำอาหารเองจะรู้ว่า แค่เปลื่ยนน้ำมันในการทอด รสชาติมันจะเปลื่ยนไปเลย รับรองไม่มี เซ็ง


Ref: http://www.facebook.com/home.php#!/?sk=messages&tid=1816253856460

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำยังไง ไม่ให้แก่!

ทำยังไง ไม่ให้แก่!


เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องแบกรับปริมาณสารอนุมูลอิสระเกินขนาด จนเป็นสาเหตุแห่งความแก่ชรา คุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระดังนี้

1.กิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก เช่น ออกกำลังกายหักโหมจนเกิดอาการเหนื่อยหอบ อย่างการวิ่งมาราธอน ยกน้ำหนัก

2.ไม่กินอาหาร ที่ทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานมาก เช่น ของทอด อาหารกลุ่มไขมันชนิดอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ที่ให้แคลอรีสูง หรือสิ่งที่มีอนุมูลอิสระสูง เช่น ของปิ้งย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่

3.หลีกเลี่ยงมลภาวะและสารเคมี นอกจากมลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่เราหายใจเข้าไปแล้ว สารเคมีที่ปลอมปนอยู่ในอาหาร เช่น ยาฆ่าแมลง ผงชูรส สีสังเคราะห์ ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ส่วนแสงแดดที่เราต้องเจอทุกวันก็ส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนัง ซึ่งเป็นด่านแรกที่รับแสงนั่นเอง

4.เครียด สมองถือเป็นอวัยวะที่ผลิตอนุมูลอิสระสูงเนื่องจากทำงานหนักและมีการเผาผลาญ พลังงานมาก เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งสารเคมีบริเวณสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีงานวิจัยของ ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเก็บข้อมูลจากพระลามะ ทิเบต พบว่า การนั่งสมาธิแบบพุทธมหายาน ช่วยลดความเครียดและเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายได้ เพราะการนั่งสมาธิจะช่วยให้หายใจช้าลง ทำให้เกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นน้อยลง และร่างกายหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

5.พักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับช่วยให้อวัยวะส่วนใหญ่ได้หยุดพักและช่วยให้อวัยวะที่ต้องทำงาน ตลอดเวลา เช่น หัวใจ ปอด และสมอง ใช้พลังงานน้อยลงซึ่งเป็นการลดการเกิดอนุมูลอิสระได้ทางหนึ่ง ดังนั้นหากพักผ่อนน้อย ร่างกายจึงต้องผลิตพลังงานและทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากตามไปด้วย


ขอบคุณที่มา : mthai
ที่มาข้อมูล: สวยเริ่ด.com
http://www.xn--l3c1adoo7d5d2c.com/2011/02/07/

สูตรล้างพิษในร่างกายด้วยตัวเอง


สูตรล้างพิษในร่างกายด้วยตัวเอง

สมัยนี้การล้างพิษได้รับความนิยมอย่างมากเพราะหลายคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพและร่างกายกันมากขึ้น วันนี้เราก็เลยมีสูตรล้างพิษ 1 วัน ในร่างกายด้วยตัวเองมาฝากกันอีกด้วยค่ะ ด้วย สูตรล้างพิษ นี้จะช่วยให้คุณนั้นมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น เลือดลมหมุนเวียนคล่อง

แล้วถ้าใช้ สูตรล้างพิษ นี้กันเป็นประจำก็จะช่วยให้คุณนั้นห่างไกลจากโรคมะเร็ง หอบหืด เบาหวาน ภูมิคุ้นกันบกพร่อง แล้วที่สำคัญสำหรับคุณผู้หญิงเลยก็คือ สูตรการล้างพิษ นี้ยังช่วยในเรื่องของการลดความอ้วนหรือลดน้ำหนักนั่นเองค่ะ

สูตรล้างพิษ 1 วัน


หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 แคลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มี เนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่างเช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยากทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วนสับปะรดนั้นมีกรดสูงมากถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละสุกหรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้นไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุดหรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้าคุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวเพื่อให้สารพิษถูก ดันออกมากับอุจจาระหลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้าสารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไป ในกระแสเลือดเหมือนเดิมทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

- วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด

2. มะนาว 4 ลูก

3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

- วิธีทำ

1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ

3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคืออาการปกติหลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง



ขอบคุณที่มา : deedeejung.com
ที่มาข้อมูล: สวยเริ่ด.com http://www.xn--l3c1adoo7d5d2c.com/2011/02/11/

10 health tips


10 health tips

1. สำรองผลไม้ในตู้เย็นผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอปเปิ้ล ซึ่งนอกจาก จะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้วการรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วยนะ

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้าองค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลด แบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ แบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุ ของ ฟันผุส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้นดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ เกือบ 50 %เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้าคลายเครียดการย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน ๆมีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะ เป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดดเนื่องจากแสงแดดช่วย สังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อน ๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมารับประทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะสำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่ เปลี่ยนมาทาน ขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา รวมทั้ง เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวไว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้ายหรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้ วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงและยังทำให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของ แถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกายไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิดไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลนอาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothingลองหยุดภารกิจวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมงให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจอาจจะฟังเพลง เงียบ ๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่น ๆแล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อย ๆ จิบน้ำชา ชมดอกไม้เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่นและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกล จากโรคความรีบร้อนอันหมายถึง โรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง



ขอบคุณที่มา : HeyhaParty
http://www.xn--l3c1adoo7d5d2c.com/2011/02/11/10-health-tips/

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร้านอาหาร: ร้านตำเทวดา


วันนี้(2011 02 09)อิฉันได้ไปพบบทความร้านอาหารจากweb sanook เห็นว่าspectของผู้เขียน เรื่องชิมอาหารเหมือนอิฉันเปี๊ยบ คือชอบเสาะหาร้านอาหารอร่อยๆ(เข้าว่า) หาง่าย ไม่เน้นหรู ดูจากความนำของบทความละกัน...

We Recommend ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบเสาะหาร้านอาหารอร่อยๆ จึงไม่แปลกที่ทุกอาทิตย์ยามว่าง ผมมักจะตระเวนไปยังร้านอาหารร้านใดร้านหนึ่ง บ้างก็รู้มาจากข้อมูลที่พบตามสื่อต่างๆ หรือบางทีพรรคพวกแนะนำให้ไปลองชิม กระทั่งบางครั้งรู้จากเสียงร่ำลือถึงเรื่องความอร่อยจากนักชิมท่านอื่น จนอดไม่ได้ที่จะต้องตามไปลิ้มลอง

รสชาติกับบรรยากาศก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ เพราะนั้นแสดงถึงความนิยมจากลูกค้าในการแวะเวียนสับเปลี่ยนเข้ามาใช้บริการ ไม่ต้องสงสัยที่นักชิมบางคนต่างดั้นด้นเพียงแค่ต้องการมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง

ปีใหม่นี้ผมขอแนะนำร้านอาหารสักร้าน หลังจากที่ได้ไปสัมผัสและลิ้มลองรสชาติของอาหารมาแล้วจนอดไม่ได้ที่ต้องนำมาบอกต่อแก่เพื่อนนักชิม ร้านที่ว่านี้มีชื่อว่า ตำเทวดา

ร้านส้มตำและอาหารตามสั่งที่ดังคับซอยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ด้วยบรรยากาศสบายๆ น่านั่ง ภายในร้านติดแอร์เย็นฉ่ำ ตกแต่งในแบบง่ายๆ เก๋ไก๋ ให้คุณเพลิดเพลินอร่อยกับอาหารเต็มที่ในราคามิตรภาพ ยิ่งถ้าหากใครเคยผ่านเข้าออก ซอยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รับรองจะต้องเคยสังเกตุเห็นร้านนี้อย่างแน่นอน เพราะป้ายชื่อที่สะดุดตามาแต่ไกล

เมนูอาหารจานเด่นของทางร้าน ก็มีให้เลือกให้ชิมมากมาย เล่าให้ฟังสิบวันก็อาจจะไม่หมด เราลองมาดูตัวอย่างจานเด็ดที่ขึ้นชื่อของร้านกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง จานแรกที่เลือกมาเรียกน้ำย่อยคือ


ยำนางฟ้า (59 บาท) เมนูสูตรเฉพาะของร้าน กับน้ำยำรสชาติสุดแซบกลมกล่อม ราดบนเห็ดนางฟ้า หมักสูตรพิเศษแล้วนำเอาไปทอดกรอบ อร่อยไม่เหมือนใคร



ถัดมาอีกจานชิมอย่างต่อเนื่อง คือ ส้มตำเทวดา (59 บาท) เส้นมะละกอทอดกรอบ นำมาคลุกเคล้าด้วยสุดยอดน้ำส้มตำ แน่นอนมาถึงที่นี่เมนูนี้ไม่ลองไม่ได้แล้ว



จานต่อไป ปีกไก่เทวดา (65 บาท) โอ้โห ไม่รู้ทางร้านมีวิธีทำแบบไหน ไก่ถึงได้กรอบทั่วทุกส่วน จานนี้เห็นอยู่บนทุกโต๊ะเลย ด้วยวัตถุดิบที่นำเอาปีกไก่กลางคุณภาพ มาหมักด้วยเครื่องเทศสูตรลับเฉพาะของร้านตำเทวดาไม่เหมือนใคร



ถัดมา หมูแดดเทวดา (65 บาท) เนื้อสันนอกหมูคัดพิเศษ นำมาหมักก่อนตากแดดหนึ่งวันแล้วจึงนำไปทอด ทำให้ได้หมูแดดที่รสชาติกลมกล่อมเข้าเนื้อ กรอบนอกนุ่มใน



อีกจานหนึ่งที่พลาดไม่ได้ครับ และผมเองก็เพิ่งเคยลองชิมครั้งแรก นั้นคือ ข้าวไข่ข้นกุ้ง (49 บาท) กุ้งตัวโตๆ ราดหน้าบน ไข่ข้นปรุงรส ซึ่งทางร้านฝากบอกมาว่า หากไม่ได้ทานถือว่ามาไม่ถึง ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หอมกลิ่นไข่ข้นสูตรเด็ด ชวนน้ำลายไหล



เมนูเด็ดอีกอย่างที่เชิญชวนชิม ต้มแซบสามเกลอ (65 บาท) โดยนำกระดูกหมูอ่อน มาต้มแซบ เลือกใช้ส่วนผสมสามเกลอ ได้แก่ (ใบโหระพา ข้าวคั่ว พริกคั่ว) ทำให้ได้รสชาติเผ็ดร้อน แซบซี้ดถึงใจแบบไทยๆ



นำเสนอมาหลายเมนู นี้ยังไม่ถึงครึ่งเมนูจานเด็ดของทางร้านเลย มาต่อด้วย ส้มตำกุ้งสด (55) ส้มตำกรอบคลุกเคล้าด้วยกุ้งสดจาก เพชรบุรี ต้องบอกเลยว่ากุ้งที่นี่เค้าสดและกรอบจริงๆ ขอยกนิ้วให้อีก 1 เมนู



จานนี้ของโปรดเลย น้ำตกคอหมูย่าง (59บาท) เป็นน้ำตกที่เนื้อนุ่มรสชาติจัดจ้าน ถึงใจจริงๆ ซึ่งร้านนี้เค้าใช้ สันคอหมูที่ไม่มันจนเกินไป ทำให้ไม่เลี่ยน ผู้หญิงทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี กลิ่นหอมจากหมุย่างผสมเข้ากับเครื่องเทศสุดยอดที่ไม่ควรพลาด



อีกหนึ่งเมนูที่อยากนำมาเสนอ เหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่รักสุขภาพ โดยเฉพาะบางคนที่เวลาทานอะไรก็มักกังวลเรื่องความอ้วน ต้องจานนี้เลย

ส้มตำผลไม้ (49 บาท) เพราะติดใจรสชาติส้มตำร้านนี้จริงๆ ทางทีมงานจึงขอแนะนำเมนูส้มตำอีกรายการ จานนี้เอาผลไม้สด คัดพิเศษ ทั้งหวานและกรอบ บวกกับรสชาติส้มตำอันกลมกล่อม อร่อยสุดๆ



ปลานิลทอดกระเทียม (100 บาท) ปลานิลคัดสดพิเศษ จากอยุธยา ทอดกระเทียม กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด รสชาติแซบถึงใจ



มาถึงเมนูที่ทางร้านสั่งตรงมาโดยเฉพาะ เพราะอยากให้ลุกค้าที่มาใช้บริการติดใจเรื่องรสชาติ ดังนั้นวัตถุดิบทีใช้จึงคำนึงถึงเรื่องคุณภาพบวกความอร่อยเป็นอันดับแรก จานนี้มาไกลม๊ากมากก..

ยำหมูยอ (65 บาท) หมูยอสินณรงค์ สั่งตรงมาจากอุบลราชธานี คลุกเคล้าด้วยน้ำยำสูตรเทวดาโดยเฉพาะ



ไส้กรอกอีสาน (59 บาท) สั่งตรงจากอุบลเช่นกัน ลูกใหญ่คับปาก อัดแน่นด้วยเนื้อหมูติดมัน อร่อยจนหยุดไม่ได้จริงๆ



อีกจานที่เพิ่งเคยได้ยินชื่อ ข้าวผัดสเปน (59 บาท) ทางร้านถึงกับกล่าวว่า "เสียดายคนตายไม่ได้กิน" นำข้าวมาผัดใส่ขมิ้น ไส้กรอก
เสิร์ฟพร้อม ไก่ทอดราดซอสขมิ้น



ข้าวไข่เยี่ยวม้ากระเพรากรอบ (49 บาท) อยากจะเจอหน้าพ่อครัว ที่ทำเมนูจานนี้จริงๆ ทำไมถึงทำให้เมนูพื้นๆ แต่รสชาติไม่ธรรมดาได้



ข้าวไข่ระเบิดกุ้ง (55 บาท) พริกตำถูกนำมาระเบิดกับกุ้งสดๆ ราดบนไข่ดาวกรอบๆ จนเราไม่อยากให้คุณพลาดเมนูนี้




ข้าวทะเลผัดผงกะหรี่ (55 บาท) กุ้งทะเลตัวใหญ่ๆ ปลาหมึกชิ้นโตๆ ผัดกับผงกะหรี่ชั้นเลิศ งานนี้ไม่มีอะไรจะบอกนอกจากว่า ภัตตาคารแถวสามย่าน ยังต้องชิดซ้าย


จานนี้ขึ้นชั้นชิงชัยความอร่อยกับย่านดังเรื่องอาหาร ข้าวราดนมสดทะเล (49 บาท) เคยทานแต่ที่สามย่าน และเพิ่งได้มาลิ้มลองที่ร้านนี้อีกครั้ง ต้องขอบอกกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือสามย่านยังมีตำเทวดา หลังมื้ออาหารยังมีผลไม้เสิร์ฟฟรี!! ไว้ให้กับลุกค้าที่มาอีกด้วย ทางร้านยังมีบริการ delivery ส่งถึงที่ด้วยนะครับ เกือบลืมไป สำหรับลูกค้าที่ทานครบ 5 ครั้ง แถม ไอศครีม 1 ถ้วย ทานครบ 10 ครั้ง แถม อาหาร 1 จาน

สำหรับนักชิมที่เสาะหาร้านอาหารสักร้านในช่วงหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันว่างในยามพักผ่อน พลาดไม่ได้ที่จะต้องหาโอกาสมาชิมลิ้มลองกันสักครั้ง ยิ่งถ้าได้มาที่นี่แล้ว รับรองได้ว่าคุณจะต้องอยากหาโอกาสนัดแก็งค์เพื่อนมาเจอกันใหม่อีกแน่นอน....

ราคาโดยเฉลี่ย 100 บาทต่อคน
เปิดให้บริการ ทุกวันจันทร์ถึงวันเสาร์
เวลา 10.30 ถึง 21.00
โทร 02-275-7129
มีที่จอดรถฟรีตามแผนที่



Ref: http://travel.sanook.com/ร้านตำเทวดา1-932202.html