วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

จริงหรือไม่!? "คอลลาเจน" คือทางลัดสำหรับคนอยากขาว

















จริงหรือไม่!? "คอลลาเจน" คือทางลัดสำหรับคนอยากขาว


นับวันวัฒนธรรมคลั่ง "ความขาว" จะยิ่งทวีความแรงมากขึ้น ผู้ผลิตหัวใสต่างก็รังสรรค์ผลิตภัณฑ์เสริมเอาใจผู้บริโภค ที่เคลมว่าขาวใสแน่นอนอย่าง "คอลลาเจน"  ใหม่ล่ามาแรง ทั้งแบบผง และแบบเม็ด รับประทานง่ายวันละครั้ง สวยไว ใสปิ๊งทันที

ทั้งยังซื้อง่าย - ขายคล่อง เดี๋ยวนี้คลิกเดียวส่งตรงถึงบ้าน สรรพคุณก็ชวนรับประทาน อาทิ ดื่มแล้วผิวเนียนกระจ่างใส , ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน ขาว ใส ใน 7 วัน , ผิวขาว หน้าใส เร่งด่วน เห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ !! โดดเด่นด้วยคอลลาเจนเข้มข้น 10,000 มก. ไม่ต้องฉีดปลอดภัย 100%

โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็เป็นสาวๆ ซึ่งคนไทยอย่างเรามีผิวชนิด 3 - 5 ที่สร้างเม็ดสีได้ดี ผิวสวย ผิวแข็งแรง ริ้วรอยมาช้า มีเพียงแค่ปัญหาฝ้าเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา "คอลลาเจน" ได้รับความนิยมอย่างสูงในฐานะสารสกัดบำรุงสุขภาพ บำรุงผิวพรรณ ผู้บริโภคเองก็เต็มใจซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาบริโภค จนลืมคิดถึง "คุณค่า" ที่แท้จริง

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เผยว่า แท้จริงแล้วการกินคอลลาเจนไม่ได้ช่วยเรื่องผิวพรรณเลย เว้นแต่ว่าได้รับคอลลาเจนผ่านการฉีด หรือใช้เครื่องมือพิเศษผลักไออนนำคอลลาเจนเข้าไป ร้อยไหม หรือยิงเลเซอร์เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนตื่นตัว

ผู้ผลิตจึงใช้กลยุทธ์จับคอลลาเจนมาคู่กับกลูต้าไธโอน ดึงดูดผู้บริโภคที่อยากเด้งเต่งตึงขาวใส เท่านั้นไม่พอยังโฆษณาขึ้นชื่อส่วนผสมอื่นๆ ที่ดูดีเข้าไปอีก เช่น ไกลซีน เปปไทด์ มิกซ์เบอร์รี่ แคลเซียม เป็นต้น

นพ.กฤษดา กล่าวอีกว่า คอลลาเจนมันคือตั้งแต่ ผม เล็บ เนื้อ หนัง กล้ามเนื้อ ล้วนเป็นคอลลาเจน สรุปง่ายๆ คอลลาเจนคือเนื้อตัวเรา นั้นก็คือโปรตีน มันก็มีอยู่ในสัตว์อื่นๆ ทั้งหลาย เวลาที่สกัดคอลลาเจนมามักจะโฆษณากันว่าคอลลาเจนผงจากปลาทะเลน้ำลึก หรือไม่ก็คอลลาเจนบริสุทธิ์ ผู้ผลิตต้องการสร้างกิมมิคให้สินค้าดูเป็นของล้ำค่า คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อ จากหอยมุก จากไข่ปลาคาเวียร์

เมื่อก่อนมีมาคอลลาเจนจากญี่ปุ่นที่มาใส่ในหม้อไฟ เรียกกันว่า กินคอลลาเจนสดๆ แต่พอแปรรูปเป็นผงไม่มีทางรู้เลยว่าผสมแป้งหรือมีสารปนเปื้อนอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ส่วนใหญ่เน้นชูธงว่าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก ดังนั้นข้อเสียอย่างแรกคือ "แพ้" หากกินแล้วรู้สึกคลื่นไส้ถือว่าเป็นระดับอนุบาล แต่ถ้าแพ้รุนแรงจะบวมเป็นผื่นขึ้น ถึงขั้นแน่นหน้าอก หลอดลมตีบ หายใจไม่ออกได้ ยิ่งคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก คนที่แพ้อาหารทะเลกินคอลลาเจนชนิดนี้จะเกิดอาการแพ้รุนแรง เตือนคนที่แพ้อาหารทะเล ต้องดูที่มาของคอลลาเจนด้วย

ข้อเสียที่เป็นของแถม ได้แก่ สารปนเปื้อน เพราะถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก มักจะมีพวกโลหะหนักที่ติดมาจากทะเลน้ำลึก ได้แก่ พวกตะกั่ว ปรอท หรือพวกสารปนเปื้อนอื่นๆ

กรณีผู้บริโภคไม่แพ้ จึงกินทุกวันด้วยความหวังว่ากินแล้วสวย นพ.กฤษดา ระบุว่า ถ้ากินทุกวันไตทำงานหนักแน่นอน เพราะคอลลาเจนผ่านทางไต มันจะทำให้ไตทำงานหนักมาก นอกจากอาหารประจำวัน ยังต้องทำงานล่วงเวลาขับคอลลาเจนอีก ดังนั้นใครที่มีปัญหาเรื่องไต เป็นโรคไตไม่ควรกิน รวมทั้งคนที่อยากสวยแต่อายุเยอะแล้วต้องระวังมากๆ

ส่วนการกินแล้วขาวนั้น อาจเป็นเพราะการผสมกลูตาไธโอน หรือผสมสารปรอท ซึ่งสารปรอททำให้ขาวแน่นอน แต่ผลข้างเคียงเยอะมาก ทำให้ตับ ไต พังหมดเลยครับ ในระยะสั้นขาวจริง แต่ในระยะยาวเป็นผลเสียต่อร่างกายมาก ระยะยาวนั้นถ้าเป็นคนที่ไม่มีโรคประจำตัว แล้วรับประทานติดต่อกันประมาณ 1 ปี จะเกิดอาการไตวาย

แต่ทำไม! คอลลาเจนที่มีขายเกลื่อนเมืองขณะนี้ สรรพคุณออกจะเลิศ อย.ก็รับรอง ซึ่งตรงนี้เป็นเหตุให้ผู้บริโภคลังเลว่าแท้จริงแล้วมันเป็นยังไง นั้นก็คือการจด อย.หากจดในนามของอาหารและกรรมวิธีผลิตสะอาดถูกต้องตามมาตรฐานก็สามารถมีเลขที่ อย.ได้ไม่ผิดจุดประสงค์

นพ.กฤษดา เตือน มีเคสกินแล้ววูบ หน้ามืด ใจสั่น น่าจะเป็นผลข้างเคียงของกลุ่มยาขับปัสสาวะ (Diuretic) ที่ทำให้ปัสสาวะเยอะ และลดความดันบางตัว ตัวซีด จึงทำให้ดูขาวนั่นเอง เป็นอาการของ Orthostatic Hypotension

ผู้ที่เคยรับประทานคอลาเจนคนหนึ่ง เล่าว่า เวลาเปิดซองชงกิน จะมีกลิ่นคาวนิดๆ ออกรสเปรี้ยวหน่อยๆ มีให้เลือกหลากหลายรส ทั้ง ส้ม สตรอเบอรี่ องุ่น ซึ่งนพ.กฤษดา เผยว่า เหตุที่ต้องมีรสเปรี้ยวเนื่องจากใส่วิตามินซี เพื่อช่วยในการดูดซึมคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายได้ดี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเครื่องดื่มพวกนี้ส่วนใหญ่เค้าอยากให้คนติด เพราะฉะนั้น 2 สิ่งที่จะใส่เข้าไปคือ คาเฟอีน และน้ำตาล เมื่อดื่มจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ถ้าเป็นน้ำตาลฟรุกโตสยิ่งทำให้ติดหวาน และทำให้จุกตับ

แนะนำให้ทานคอลลาเจนจากธรรมชาติดีกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ กินปลาดิบแตะวาซาบิ หรือปลานึ่งมะนาว ก็ได้วิตามินซี แต่ถ้าเป็นคอลลาเจนผงสมมติกินไป 100 ได้จริงๆ ไม่ถึง 1 ด้วยซ้ำ และอย่างที่บอกเสี่ยงเกิดอาการแพ้ด้วย สร้างภาระให้ไตอีก ทั้งยังได้ของแถมพวกสารตะกั่ว ปรอท โลหะหนักพ่วงตาม

ข้อมูลทางการแพทย์ ระบุด้วยว่า ในปัจจุบันคอลลาเจนได้รับความสนใจในการใช้เป็นอาหารเพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวหนัง แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดถึงภาวะร่วงโรยของผิวหนังที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้งตามกาลเวลาแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างถาวร จึงควรดูแลผิวด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ เพราะมีคอลลาเจนมาก บีทรูท แครอท ฟักทอง กล้วยน้ำว้า โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน

ที่สำคัญควรดื่มน้ำที่สะอาดให้มาก พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคู่กันไป ละเว้นจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงสภาวะที่มีฝุ่นและควันพิษต่างๆ รวมทั้งแสงแดดจัดๆ ในช่วงเวลา 9.30-15.00 น. ซึ่งจะทำลายผิว แม้จะเป็นวิธีการง่ายๆ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ชอบทำ มักอ้างว่าไม่มีเวลา ไม่สะดวก และไม่ทำอย่างต่อเนื่อง นิยมทางลัดหรือวิธีการสำเร็จรูป จึงเป็นจุดอ่อนให้ผู้ผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพทั้งหลายนำเอามาใช้ชวนเชื่อผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวสปริงนิวส์
http://news.springnewstv.tv/33683/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87

24-04-2014หมายเหตุประชาชน >> ‘คอลลาเจน’ เลือกใช้ให้ถูกวิธี สาว ๆ ที่กำลังคลั่ง “ความขาว–เต่งตึง–สวยใส” คงไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่คุ้นเคยกับ “คอลลาเจน”
เพราะปัจจุบันในท้องตลาด มีผลิตภัณฑ์ความงามที่โฆษณาว่าทำมาจาก “คอลลาเจน” โดยเฉพาะ “คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก” ให้เลือกสรรมากมาย
โฆษณาชวนเชื่อ บอกสรรพคุณโดดเด่น ผู้บริโภคหลงเชื่อ ซื้อมาบริโภคกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่แท้จริงของ “คอลลาเจน”
ดร.นพ.เวสารัช เวสสโกวิท แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง สถาบันโรคผิวหนัง และคณะกรรมการอำนวยการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการรับประทานคอลลาเจน ว่า คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง พบมากที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น เส้นเอ็น หลอดเลือด เป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 75 ของผิวหนัง มีหน้าที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่นกับอวัยวะ
โครงสร้างของคอลลาเจนมีลักษณะเป็นพันเกลียว 3 สาย แล้วพันทับกันอีกหลาย ๆ ชั้น ในส่วนไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolysed collagen) จะเป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยบางส่วน มีหลาย ๆ ชื่อ
เช่น เจลาติน (collagen hydrolysate) คอลลาเจนเป็ปไทด์ เป็นต้น
รูปแบบของกระบวนการผลิตคอลลาเจน โดยทั่วไปจะใช้กรรมวิธีนำเอาหนังสัตว์มาแช่ในน้ำปูนประมาณ 3 เดือน ล้างเอาปูนออกด้วยน้ำ ทำการต้ม ทำให้แห้งแล้วบด
ปัจจุบันมีการโฆษณาตามสื่อว่า การดื่มหรือรับประทานคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการย่อยบางส่วนแล้ว (collagen hydrolysate) จะสามารถดูดซึมเข้าไปในร่างกายโดยไม่ผ่านกระบวนการย่อยในทางเดินอาหารอีก แล้วเข้าไปเสริมสร้างคอลลาเจนที่ผิวหนัง
แต่จากการวิจัยยังไม่สามารถตรวจคอลลาเจนที่รับประทานเข้าไปได้โดยตรง แต่อาศัยการตรวจกรดอะมิโนหรือเป็ปไทด์ซึ่งพบใน ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน เป็นหลัก
ดังนั้นจึงไม่เคยพิสูจน์ได้จริงว่าคอลลาเจนที่ดื่มเข้าไปถูกดูดซึมโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการย่อย
มีการวิจัยในสัตว์ทดลองชี้ให้เห็นว่า การรับประทานเป็ปไทด์ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโนเพียงสองตัว มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่ยังคงเป็นเป็ปไทด์อยู่  ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 95 ถูกย่อยจนหมด ดังนั้นการรับประทานคอลลาเจนเกือบทั้งหมดจะถูกย่อยก่อนดูดซึมในรูปของกรดอะมิโน
อาหารที่มีคอลลาเจนสูง จะพบมากในหนังสัตว์และเอ็น ดังนั้น อาหารที่ทำจากเอ็น เช่น คากิ หรือเอ็นตุ๋น จะเป็นอาหารที่อุดมด้วยคอลลาเจน แต่จะต้องผ่านการเคี่ยวให้เปื่อยนุ่มร่างกายจึงจะย่อยได้ดี
ส่วนอาหารสำเร็จรูปที่มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักได้แก่ เยลลี่ และ เจลาติน
และเนื่องจากคอลลาเจนมีโมเลกุลใหญ่มากจะต้องผ่านกระบวนการย่อยก่อนแล้วกลายเป็นกรดอะมิโน จึงจะดูดซึมได้ ดังนั้นคอลลาเจนจึงไม่สามารถผ่านผิวหนังได้เลย ทำได้อย่างมากก็แค่เคลือบผิวหนังด้านบนเท่านั้น การนำคอลลาเจนชนิดทามาใช้เสริมความงาม คอลลาเจนจะทำหน้าที่เคลือบผิว เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื่นเท่านั้น
การฉีดสารคอลลาเจน เมื่อก่อนจะใช้คอลลาเจนจากวัวมาฉีดเป็นสารเติมเต็ม แต่เนื่องจากมีการแพ้สูง ปัจจุบันไม่มีการฉีดคอลลาเจนจากวัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงเห็นมีโฆษณาขายคอลลาเจนให้กับสาว ๆ ที่อยากขาว อยากเต่งตึง อยากสวยใส โดยมีหลากหลายผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้
สำหรับเรื่องนี้ ดร.นพ.เวสารัช กล่าวว่า “มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรับประทานคอลลาเจนจำเพาะยี่ห้อ อาจทำให้ผิวดีขึ้น เช่น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นสูงขึ้นและลดริ้วรอยที่เกิดตามวัย ทั้งนี้ ไม่เคยมี งานวิจัยว่า คอลลาเจนจำเพาะยี่ห้อจะทำให้ริ้วรอยดีขึ้นกว่าการรับประทานคอลลาเจนจากอาหารทั่วไปที่มีราคาถูก”.
ทีมเดลินิวส์ 38
article@dailynews.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น