วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

11 สูตรเครื่องดื่มเจ กระดกเบา ๆ เพื่อสุขภาพ แก้วนี้พี่แนะนำ

11 สูตรเครื่องดื่มเจ กระดกเบา ๆ เพื่อสุขภาพ แก้วนี้พี่แนะนำ

11 สูตรเครื่องดื่มเจ
          เทศกาลกินเจนอกจากทำอาหารเจไว้กินเป็นมื้อหลักแล้ว อย่าลืมจัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสูตรเจไว้เสริมทัพเบา ๆ ระหว่างวันด้วย แต่ละแก้วเด็ด ๆ ทั้งนั้น พี่แนะนำเลย

          อาหารเจเมนูต้ม อาหารเจเมนูเส้น อาหารเจรสแซ่บ และเมนูของทอดเจจัดพร้อมเสิร์ฟทุกมื้อหมุนเวียนตลอดช่วงเทศกาลกินเจแล้ว แต่ยังขาดเมนูเครื่องดื่มเอาไว้ดื่มตบท้ายหลังมื้ออาหาร หรือเอาไว้ดื่มระหว่างวันยามท้องว่าง วันนี้กระปุกดอทคอมขอแนะนำ 11 สูตรเครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพ แต่ละเมนูแคลอรีต่ำ เลือกทำได้ตามชอบ เอาไว้ดื่มเพลิน ๆ ช่วงกินเจ หรือนอกช่วงกินเจอยากดื่มก็ได้เหมือนกันจ้า

11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 1. น้ำเต้าหู้ 

          เครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพเมนูแรกที่ต้องนึกถึงคงหนีไม่พ้นการทำน้ำเต้าหู้ ใครเคยลองทำน้ำเต้าหู้แล้วรสชาติไม่ถูกจริตบ้างคะ ? มีทั้งกลิ่นเหม็นเขียวและออกขมด้วยซ้ำ ต้องมาดูวิธีทำน้ำเต้าหู้สูตรจากRinS CookBook แบบโฮมเมดไว้กินเอง แล้วจะพบว่า น้ำเต้าหู้ทำอร่อยได้ง่าย ๆ สูตรนี้พิเศษที่มีการใส่ถั่วลิสงและอัลมอนด์ลงไปเพิ่มความหอมมันและความเข้มข้น ลองทำดื่มนะคะ ได้สุขภาพอีกด้วย

 ส่วนผสม น้ำเต้าหู้

           ถั่วเหลือง 16 ออนซ์ (ประมาณ 453 กรัม)
           ถั่วลิสง 1 ถ้วย
           อัลมอนด์ 1 ถ้วย
           น้ำเปล่า 6 ถ้วย (อัตราส่วน 1:3)
           น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาว (สำหรับเพิ่มความหวาน)

 วิธีทำน้ำเต้าหู้

           1. ใส่ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และอัลมอนด์ลงในอ่างผสมแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นแช่น้ำให้ท่วมทิ้งไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง (หลังจากแช่น้ำทิ้งไว้จนครบเวลาแล้ว ถั่วที่ได้จะพองขึ้นเป็น 3 เท่า)

           2. ใส่ถั่วที่แช่น้ำแล้ว 3 ถ้วยลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำเปล่า แล้วปั่นประมาณ 1-2 นาทีจนส่วนผสมเนียนละเอียด 

           3. นำส่วนผสมที่ปั่นละเอียดแล้วมากรองด้วยผ้าขาวบาง บีบเอาเฉพาะน้ำ ใส่หม้อ เตรียมไว้

           4. นำน้ำถั่วเหลืองขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือดและมีฟอง (หมั่นคนผสมเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ส่วนผสมไหม้) ปิดไฟ

           5. ตักนมถั่วเหลืองที่ได้ใส่แก้ว เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปตามชอบ คนผสมให้เข้ากัน พร้อมดื่ม หรือพักไว้จนเย็น เทใส่ขวดเก็บไว้แช่ในตู้เย็นได้นาน 3 วัน

           ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ วิธีทำน้ำเต้าหู้ โฮมเมดสูตรเข้มข้น ทำดื่มเองดีกว่าไม่เสียอารมณ์


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 2. น้ำเต้าหู้งาดำ 

          มาเพิ่มประโยชน์ให้กับน้ำเต้าหู้เพียว ๆ ด้วยงาดำลงไปหน่อยดีกว่า สีสันจะได้สวยงามและมีกลิ่นหอมอีกด้วย ทำง่าย ๆ เหมือนการทำน้ำเต้าหู้ทั่ว ๆ ไปแต่ใส่งาดำลงไปเพิ่มเท่านั้น สำหรับใครที่อยากใส่เครื่องอื่น ๆ เช่น เม็ดแมงลัก ถั่วแดงต้ม ก็จัดไปได้เลย อิ่มสบายท้องชัวร์

 ส่วนผสม น้ำเต้าหู้งาดำ

           ถั่วเหลือง 500 กรัม
           งาดำ 1-2 ช้อนโต๊ะ
           น้ำอุ่น
           น้ำตาลทราย

 วิธีทำน้ำเต้าหู้งาดำ

           1. ล้างถั่วเหลืองให้สะอาด ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ จากนั้นนำไปคั่วในกระทะจนแห้งและมีกลิ่นหอม แล้วนำไปแช่ในน้ำสะอาดทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง 

           2. ล้างงาดำให้สะอาด ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ จากนั้นนำไปคั่วจนมีกลิ่นหอม

           3. ใส่ถั่วเหลืองที่แช่น้ำจนนิ่มแล้วลงในเครื่องปั่น ตามด้วยงาดำคั่ว และน้ำอุ่นจนท่วม ปั่นจนละเอียด ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาเฉพาะน้ำ

           4. เทน้ำเต้าหู้งาดำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด หมั่นคนสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ก้นหม้อไหม้ เติมน้ำตาลทรายลงไป ชิมรสตามชอบ คนผสมให้เดือดอีกครั้ง ยกลงจากเตา ตักใส่แก้ว พร้อมดื่ม หรือนำไปแช่เย็นก่อนดื่ม


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 3. น้ำเต้าหู้แครอท 

          ลองทำมาหมดแล้วทั้งน้ำเต้าหู้ และน้ำเต้าหู้งาดำ มื้อต่อไปขอเป็นน้ำเต้าหู้แครอทบ้างดีกว่า อีกหนึ่งเครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพ สูตรนี้เพิ่มน้ำแครอท และกลิ่นหอมของใบเตยเข้าไป ถ้าใครไม่อยากดื่มรสต้นตำรับก็ไม่ต้องเติมน้ำตาลทรายลงไปก็ได้นะคะ อยากให้ลองทำกันค่ะ 

 ส่วนผสม น้ำเต้าหู้แครอท

           ถั่วเหลืองซีก 500 กรัม
           น้ำเปล่า 3 ลิตร
           น้ำแครอทคั้นเข้มข้น 1 ถ้วย
           ใบเตยมัดเป็นปม
           น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
           เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำเต้าหู้แครอท

           1. ล้างถั่วเหลืองให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือ 1 คืน ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ เตรียมไว้

           2. ใส่ถั่วเหลืองลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำเปล่า ปั่นจนละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง เอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้

           3. ใส่น้ำเต้าหู้ที่ได้ผสมกับน้ำแครอท คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเทใส่หม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง ใส่ใบเตย ต้มจนเดือด (หมั่นคนตลอดเวลาไม่ให้ไหม้) 

           4. พอน้ำเต้าหู้เดือดแล้วลดเป็นไฟอ่อน ตักใบเตยออก ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่น คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย ชิมรสตามชอบ ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ตักใส่แก้ว พร้อมดื่ม


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 4. น้ำลูกเดือย 

          ทุกคนก็รู้ว่าลูกเดือยมีคุณค่ามากมายทั้งบำรุงตับ ป้องกันมะเร็ง และอื่น ๆ จนทำให้คนจีนยกให้ลูกเดือยเป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยความที่ลูกเดือยมีคาร์โบไฮเดรตสูง ไม่มีคอเลสเตอรอล ทำให้คนที่อยากลดน้ำหนักก็หันมากินลูกเดือยต้ม หรือถ้าหากไม่อยากเคี้ยวก็ทำเป็นน้ำลูกเดือยกันเลยค่ะ ดื่มง่ายลื่นคอ จับธัญพืชที่ชอบลงไปใส่ด้วยก็เก๋ดีเหมือนกัน 

 ส่วนผสม น้ำลูกเดือย

           ลูกเดือยแห้ง 100 กรัม
           ธัญพืชตามชอบ เช่น งาขาว งาดำ เม็ดบัว ถั่วอัลมอนด์
           น้ำเปล่า 6 ถ้วย (เพิ่ม-ลดได้ตามความเข้มข้นที่ต้องการ)
           น้ำตาลทราย (ตามชอบ)

 วิธีทำน้ำลูกเดือย

           1. แช่ลูกเดือยในน้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 1 คืนจนลูกเดือยเริ่มนิ่มขึ้น สะเด็ดน้ำ เตรียมไว้

           2. ใส่ลูกเดือย ธัญพืช และน้ำเปล่า 3 ถ้วยลงในเครื่องปั่นแล้วปั่นจนส่วนผสมละเอียดเข้ากันเป็นน้ำ จากนั้นนำไปกรองเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้ (หรือถ้าใครชอบแบบเข้มข้นไม่ต้องกรองก็ได้) 

           3. เทส่วนผสมที่กรองแล้วใส่ลงหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไป (ปริมาณตามต้องการ) คนผสมไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลทรายละลายแล้วชิมรสตามชอบ รอจนส่วนผสมเดือดแล้วปิดไฟ (หรือนำไปต้มในหม้อหุงข้าวก็ได้ตามสะดวก) จากนั้นวางพักไว้จนเย็น ตักใส่แก้ว พร้อมดื่ม


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 5. น้ำข้าวกล้องงอกมะม่วง

          ถ้าเอ่ยชื่อน้ำข้าวกล้องงอกบางคนอาจส่ายหน้าเพราะรสชาติจืดชืดไม่อร่อย แต่ถ้าได้เพิ่มมะม่วงเข้าไปกลายเป็นน้ำมะม่วงข้าวกล้องงอกสูตรจากนิตยสาร Foodstylist เครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพ รสชาติจะอร่อยหอมหวานมากยิ่งขึ้น ถ้าอยากรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไรต้องลองทำ

 ส่วนผสม น้ำข้าวกล้องงอกมะม่วง

           ข้าวกล้องขาว (ข้าวใหม่ดอกมะลิ 105 หรือปทุมธานี 1) 500 กรัม
           น้ำสะอาด
           ใบเตย 2-3 ใบ
           มะม่วงสุกเลือกหวาน ๆ ปั่น 1 ลูก
           สะระแหน่ สำหรับตกแต่ง

 วิธีทำน้ำข้าวกล้องงอกมะม่วง

           1. นำข้าวกล้องมาล้างทำความสะอาด เติมน้ำให้ท่วมข้าว แช่ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 ชั่วโมง เทน้ำออกแล้วนำไปห่อด้วยผ้าขาวบาง ใส่กล่องทิ้งไว้อีกประมาณ 10-24 ชั่วโมง เมล็ดข้าวจะงอกออกมาเป็นตุ่มเล็ก ๆ (ได้ข้าวกล้องงอก) ที่มีสารกาบา จึงนำมาผสมกับน้ำประมาณ 1 ลิตร ปั่นให้ละเอียด

           2. นำไปกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นจึงนำไปต้มกับใบเตยจนเดือด พักไว้ให้อุ่น ๆ นำมาผสมกับน้ำมะม่วงในปริมาณตามต้องการดื่มทันที ถ้าต้องการเพิ่มความหวานสามารถเติมน้ำเชื่อมได้ตามชอบ


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 6. นมอัลมอนด์ 

          ช่วงเทศกาลกินเจแบบนี้คงจะดีไม่น้อยที่ได้เครื่องดื่มอุ่น ๆ มาดื่มรองท้องคลายหิวอย่างนมอัลมอนด์ก็น่าสนใจไม่น้อย ทำง่าย ๆ แค่ซื้ออัลมอนด์ดิบมาแช่น้ำร้อนและปั่นพร้อมกับน้ำสะอาด กรองเอาเฉพาะน้ำนม ถ้าใครอยากดื่มเพียว ๆ ก็ได้ หรือใส่แปะก๊วยเพิ่มลงไปก็อร่อย 

 ส่วนผสม นมอัลมอนด์

           อัลมอนด์ 100 กรัม
           น้ำร้อนจัด (สำหรับแช่อัลมอนด์)
           น้ำสะอาด 500 มิลลิลิตร
           น้ำตาลทราย 100 กรัม
           แปะก๊วยต้มสุก 100 กรัม (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ตามชอบ)

 วิธีทำนมอัลมอนด์

           1. แช่อัลมอนด์ในน้ำร้อนจัด ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ลอกเปลือกออกให้หมด เตรียมไว้

           2. ใส่อัลมอนด์ลงในเครื่องปั่น เติมน้ำสะอาดลงไปปั่นผสมให้เข้ากันจนละเอียด ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบางเอาเฉพาะน้ำนม

           3. นำน้ำนมอัลมอนด์ขึ้นตั้งไฟต้ม ใส่น้ำตาลทราย คนผสมจนเดือด และน้ำตาลทรายละลาย ยกลงจากเตา เทใส่แก้ว ใส่แปะก๊วย พร้อมดื่ม


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 7. น้ำฟักข้าวเสาวรส

          เชื่อว่าหลายคนอาจเคยเห็นฟักข้าวลูกสีส้มเหลือง มีหนามเล็ก ๆ อยู่รอบผล รู้ไหมว่า ฟักข้าวมีทั้งวิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ไฟเบอร์ และมีเบต้าแคโรทีนสูงมาก [คลิกอ่าน ฟักข้าว ประโยชน์ของพืชพื้นบ้านลูกจิ๋ว สรรพคุณแจ๋ว] หลายคนอยากลองซื้อมาแต่ไม่รู้จะซื้อมาทำอะไรกินได้บ้าง ต่อไปนี้ถ้าเห็นลองซื้อมาทำเป็นน้ำฟักข้าว เครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพได้นะคะ 

 ส่วนผสม น้ำฟักข้าวเสาวรส

           ฟักข้าว 1 ลูก
           น้ำต้มสุก (สำหรับปั่นฟักข้าว) 3 ถ้วย
           เสาวรส 2-3 ลูก
           น้ำต้มสุก (สำหรับปั่นเสาวรส) 3 ถ้วย
           เกลือป่นเล็กน้อย
           น้ำเชื่อม

 วิธีทำน้ำฟักข้าวเสาวรส

           1. ผ่าครึ่งลูกฟักข้าว คว้านเอาเม็ดออก จากนั้นปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 

           2. ใส่เนื้อฟักข้าวลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำต้มสุก ปั่นจนละเอียดเข้ากันดี เทใส่ภาชนะ เตรียมไว้

           3. ตักเนื้อเสาวรสใส่ลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำต้มสุก ปั่นจนละเอียดเข้ากันดี ยกลงกรองเอาเฉพาะน้ำ 

           4. ผสมน้ำฟักข้าวและน้ำเสาวรสเข้าด้วยกัน เติมเกลือป่นและน้ำเชื่อมลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ พร้อมดื่ม

           ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ น้ำฟักข้าว เครื่องดื่มสุขภาพสุดฮิต ทำอย่างไร ดื่มแบบไหนให้อร่อย


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 8. น้ำฟักเขียว 

          เหลือเชื่อ ฟักเขียวที่เอามาทำเป็นแกงจืดฟัก หรือแกงกะทิฟักไก่จะกลายร่างเป็นเครื่องดื่มเย็น ๆ อย่างน้ำฟักเขียว สูตรจาก คุณ RinS CookBook จะดื่มแบบเย็น หรือแบบร้อนก็ได้ ถ้าพร้อมแล้วเข้าครัวพร้อมกันได้เลยจ้า

 ส่วนผสม น้ำฟักเขียว

           ฟักเขียว (ฟักแฟง) 1 กิโลกรัม
           น้ำตาลทรายแดง 145 กรัม (5 ออนซ์)
           น้ำตาลกรวด 145 กรัม (5 ออนซ์)
           น้ำดื่ม

 วิธีทำน้ำฟักเขียว

           1. ล้างทำความสะอาดฟักเขียวทั้งเปลือกให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ทั้งเปลือกและเม็ด) ใส่ลงในหม้อ เตรียมไว้

           2. ใส่น้ำตาลทรายแดงลงไป คนผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที (จนน้ำจากฟักเริ่มออกมา) นำส่วนผสมขึ้นตั้งไฟ เติมน้ำตาลกรวดลงไป ใช้ไฟแรงต้มจนเดือด พอน้ำเดือดแล้วลดเป็นไฟอ่อน ต้มทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง พอครบเวลา กรองส่วนผสมเอาเฉพาะน้ำเชื่อม พักทิ้งไว้จนอุ่น

           3. ถ้าต้องการดื่มแบบร้อนให้ใส่น้ำเชื่อมฟักลงในแก้ว 1 ส่วน (1/4 แก้ว) ตามด้วยน้ำเปล่า 3 ส่วน คนผสมให้เข้ากัน ถ้าต้องการดื่มแบบร้อนให้ใส่น้ำเชื่อมเพิ่มแล้วใส่น้ำแข็งตามลงไป พร้อมดื่ม

           ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ น้ำฟักเขียว เครื่องดื่มดับร้อน คลายความหงุดหงิด 


11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 9. น้ำกระเจี๊ยบแดงกับพุทราจีน 

          ดื่มน้ำกระเจี๊ยบที่เขาขายมาก็เยอะแต่ยังไม่เคยเจอที่ผสมกับพุทราจีนเลย ช่วงเทศกาลเจแบบนี้ลองทำน้ำกระเจี๊ยบแดงกับพุทราจีนดื่มดูดีกว่า ทำเองรับรองว่าเข้มข้นกว่าเยอะ แถมได้ลิ้มรสเนื้อพุทราจีนอีกด้วย ดื่มแบบอุ่น ๆ หรือใส่น้ำแข็งก็อร่อยจ้า 

 ส่วนผสม น้ำกระเจี๊ยบแดงกับพุทราจีน

           ดอกกระเจี๊ยบแดงแห้ง 1 กำมือ
           พุทราจีน 1 กำมือ
           น้ำสะอาด 1-1.5 ลิตร
           น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
           เกลือป่น 1 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำกระเจี๊ยบแดงกับพุทราจีน

           1. ล้างดอกกระเจี๊ยบแดงแห้งและพุทราจีนในน้ำสะอาด เอาเศษฝุ่นออก (อย่าแช่น้ำนานเพราะจะทำให้เสียรสชาติและคุณค่าทางอาหาร)

           2. ต้มน้ำจนเดือดแล้วใส่กระเจี๊ยบกับพุทราจีนลงไปต้ม เคี่ยวจนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี เติมเกลือป่น และน้ำตาลทรายลงไป คนผสมให้ละลาย (ชิมรสตามต้องการ) ยกลงกรองเอากากออก พักไว้จนเย็น เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง พร้อมดื่ม หรือเทเก็บใส่ขวดแช่เย็นเก็บไว้ดื่ม


11 สูตรเครื่องดื่มเจ
ภาพจาก ifoodreal.com

 10. สมูทตี้เมล็ดเจีย

          ใคร ๆ ก็รู้ว่า เมล็ดเจียมีประโยชน์อนันต์ [คลิกดู เมล็ดเจีย (เมล็ดเชีย) ธัญพืชมากประโยชน์ ขุมทรัพย์แห่งสุขภาพ] เอามาทำเครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพได้อย่างสมูทตี้สีเขียวกับเมล็ดเจีย เหมาะสำหรับดีท็อกซ์ช่วงกินเจมาก ๆ สูตรนี้พิเศษตรงที่นอกจากใส่เมล็ดเจียแล้วยังใส่สารพัดผัก ทั้งผักโขม ใบคะน้า และซูกินี ทำให้เครื่องดื่มแก้วนี้มีสีเขียว รวมถึงใส่แอปเปิลและเลมอนอีกด้วยทำให้มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวตามธรรมชาติ ลองจัดสักแก้วดีไหม

 ส่วนผสม สมูทตี้เมล็ดเจีย

           น้ำเย็น 2 ถ้วย
           ผักโขม 2 กำมือ
           ใบคะน้าขนาดกลาง 1 ต้น
           ซูกินีหั่นแว่น  1/2 ลูก
           แอปเปิลหั่นชิ้น 1/2 ลูก (ไม่ปอกเปลือกไม่เอาเม็ด)
           เมล็ดเจีย 2 ช้อนโต๊ะ 
           น้ำเลมอน 1/2 ลูก

 วิธีทำสมูทตี้เมล็ดเจีย

           นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ จากนั้นปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แก้ว โรยเมล็ดเจีย พร้อมเสิร์ฟ




11 สูตรเครื่องดื่มเจ

 11. น้ำจับเลี้ยงมะนาวโซดา 

          เกิดมาเคยกินแต่น้ำมะนาวโซดารสเปรี้ยวซาบซ่า แต่ถ้าใครเริ่มรู้สึกเบื่อลองมาดื่มน้ำจับเลี้ยงมะนาวโซดากันบ้างดีกว่า แค่จับน้ำจับเลี้ยงมาผสมกับน้ำมะนาวโซดา ทำไว้ดื่มดับกระหายคลายร้อนในช่วงกินเจนี้เข้าท่าดีเหมือนกัน

 ส่วนผสม น้ำจับเลี้ยงมะนาวโซดา

           น้ำจับเลี้ยง 4 ช้อนโต๊ะ
           น้ำมะนาวคั้น 2 ช้อนโต๊ะ
           น้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น เล็กน้อย
           โซดา 3/4 แก้ว
           น้ำแข็ง

 วิธีทำน้ำจับเลี้ยงมะนาวโซดา

           1. ใส่น้ำมะนาว น้ำเชื่อม เกลือป่น และน้ำจับเลี้ยงลงในแก้ว คนผสมให้เข้ากัน

           2. เติมโซดาลงไป คนผสมให้เข้ากัน เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟ

          เอาใจคนกินเจในช่วงเทศกาลเจสักหน่อยด้วยเครื่องดื่มเจเพื่อสุขภาพ 11 สูตร แต่ละเมนูน่าลิ้มลองทั้งนั้น ทำไว้ดื่มรองท้องก็ได้ หรือดื่มดับกระหายคลายร้อนก็เลิศ พร้อมเข้าครัวหรือยังสำหรับเมนูแรกช่วงบ่ายนี้

ที่มา http://cooking.kapook.com/view131831.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น