วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทำไม??คนกินมังสวิรัติถึงได้ยังเป็นโรคหลอดเลือดตีบ!!

►ทำไม??คนกินมังสวิรัติถึงได้ยังเป็นโรคหลอดเลือดตีบ!!◄


►ทำไม??คนกินมังสวิรัติถึงได้ยังเป็นโรคหลอดเลือดตีบ!!
#เรื่องนี้ไม่อ่านไม่ได้ !!!

นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเกิดคำถามมากสำหรับคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติว่าทำไมคนจำนวนหนึ่งยังเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดตีบหรืออุดตันได้ ทั้งๆที่คนเหล่านั้นไม่รับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์

ตัวอย่างเช่น เจ้าตำรับสูตรอาหารชีวจิต เน้นการรับประทานธัญพืช ผัก ปลาบ้างเล็กน้อย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ อย่าง
**ดร.สาทิส อินทรคำแหง** ได้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ !?

**พลตรีจำลอง ศรีเมือง** ผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ปฏิบัติธรรมถือศีลเคร่งครัด ปฏิบัติตามอิทธิบาทสี่ รับประทานอาหารมื้อเดียว ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน และล้างพิษตับด้วย แต่ปรากฏว่าพบหลอดเลือดตีบหรืออุด ตันบริเวณหัวใจถึง 3 เส้น จนต้องเข้ารักษาด้วยการทำบอลลูนจึงกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้

จึงเกิดคำถามว่าทำไมบุคคลสำคัญในด้านสุขภาพ 2 ท่านนี้จึงมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดตีบได้อย่างไร?

จริงอยู่ที่ว่าการปฏิบัติตนดูแลสุขภาพไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด มนุษย์เราก็ไม่สามารถเป็นอมตะนิรันดร์กาลได้ และเราทุกคนก็มีอายุขัยของตัวเองไม่เท่ากันซึ่งแล้วแต่บุญกรรมที่ทำมา และวันใดที่เราหมดอายุขัยเราทุกคนก็ต้องเป็นเจ็บป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เพียงแต่การที่เราเข้าใจในบางเรื่องทียังไม่เข้าใจในวันนี้ก็จะทำให้เรามีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นให้ได้ดีมากขึ้น

คนส่วนใหญ่ในยุคนี้มักจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันพืชในการทำอาหาร ได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ธัญพืช ผัก ข้าว ไข่ไก่ โดยส่วนใหญ่น้ำมันพืชที่เราใช้ในการทำ ความร้อนนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา ฯลฯ

น้ำมันพวกนี้เมื่อมีความไม่อิ่มตัวสูง ก็จะเปิดช่องทำให้เกิดการทำ ปฏิกิริยา กับออกซิเจนได้ง่ายหรือที่เรียกว่าออกซิเดชั่นทำให้เกิดการหืนได้ง่าย หรือ เมื่อโดนความร้อนก็จะทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเกิดเป็นไขมันทรานส์ อันเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดการอักเสบและอุดตันของหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็งได้ด้วย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้คนไทยสมัยก่อนที่ใช้น้ำมันอิ่มตัว ทั้งน้ำมันมะพร้าว กะทิ และน้ำมันหมู กลับไม่พบอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดมากเหมือนคน ปัจจุบัน

จากความเดิมในหลายตอนที่ผ่านมาได้นำเสนอมาแล้วว่าการเกิดของโรคหัวใจไม่สัมพันธ์กับปริมาณคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดแต่ประการใด

งานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2537 ที่ได้เคยเกิดงานวิจัยครั้งใหญ่จากการสำรวจสถิติกลุ่มตัวอย่างถึง 3,641 คน โดยนักวิชาการมหาวิทยาลัยแห่งเพนซิลวาเนีย เมืองฟิลาเดเฟีย มลรัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณคอเลสเตอรอลและโรคหัวใจ ซึ่งจัดทำโดย Kinosian, B; Click, H; and Garland, G.1994 ในหัวข้อ “Cholesterol and coronary heart disease: Predicting risks by levels and ratios.” ตีพิมพ์ใน Ann. Internal Med. 121:641-7 ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ให้คำตอบกว่าการกำหนดปริมาณเกณฑ์การใช้คอเลสเตอรอลในกระแสเลือดที่อ้างว่าจะทำให้เกิดโรคหัวใจนั้นไม่สามารถชี้ชัดได้เลย และเมื่อเก็บสถิติแล้วกลับพบว่าความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน่าจะใช้วิธีอื่นวัดน่าจะถูกต้องมากกว่า

ความสัมพันธ์ที่สำคัญที่จะต้องพิจารณาเสมอคือปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดต้องไม่เกิน 5 เท่าของ HDL (High Density Lipoprotein) หรือที่วงการแพทย์มักเรียกว่าไขมันชนิดดี หมายถึงว่ายิ่ง HDL เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ อัตราการความเสี่ยงเกิดปัญหาเรื่องการอุดตันของหลอดเลือดหรือหลอดเลือดตีบก็จะลดลงไปด้วย

เป้าหมายการลดหรือป้องกันโรคหลอดเลือดตีบและหัวใจ จึงไม่ใช่การลดคอเลสเตอรอล (เพราะคอเลสเตอรอลมีความจำเป็นต่อร่างกายและส่วนใหญ่เกือบ 80% ร่างกายเราสังเคราะห์เองจากตับ) แต่เราต้องหาทางเพิ่ม HDL ให้มากขึ้น

การเพิ่ม HDL จากการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ใน J.Manag .Care Pharm 2008 พบว่า high triglycerides และ low HDL- cholesterol ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคหัวใจ การทำให้คนไข้ LDL ต่ำเหลือประมาณต่ำกว่า 130 การเป็นโรคหัวใจก็ไม่ลดลง แต่พบว่าการเพิ่ม HDL การเป็นโรคหัวใจก็ลดลงทันที”

“มีรายงานวิจัยการเพิ่ม HDL-C ลงพิมพ์ใน Postgrand.Med.J.ปี 2008 พบว่า การเพิ่ม HDL –C เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลดอัตราการเป็นโรคหัวใจในคนไข้ ซึ่งการรักษาตัวยา Statin LDL ต่ำมากแล้ว อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ถ้าเพิ่ม HDL แล้ว คนไข้โรคหัวใจ และ โรคต่างๆกินน้ำมันมะพร้าวเพิ่ม HDL ได้ดีกว่าทั้งหมด”

ทั้งนี้น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันชนิดเดียวในโลกที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมาก ที่สุด และเป็นกรดไขมันสายสั้นและปานกลางมากที่สุดในโลก จึงทำให้ดูดซึมสร้างพลังงานให้กับตับได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้อัตราการเผาผลาญเป็นพลังงานสูงขึ้น เมื่ออัตราการเผาผลาญสูงขึ้น ตับก็จะผลิต HDL เพื่อไปเก็บคอเลสเตอรอลและ LDL ตามหลอดเลือดส่งมายังที่ตับ เพื่อนำคอเลสเตอรอลเหล่านั้นไปผลิตเป็น ฮอร์โมนหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย น้ำดี และเยื่อหุ้ม เซลล์ เหตุเพราะการเผาผลาญในร่างกายสูงขึ้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น น้ำมันมะพร้าวจึงเป็นน้ำมันที่ทำให้เพิ่ม HDL โดยตรง และสามารถลดอัตราความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบและอุดตันได้!!!

หลายคนรู้เพิ่มมากขึ้นในวันนี้ว่าการบริโภคไขมันอิ่มตัวจากเนื้อสัตว์ในยุคนี้ก่อให้เกิดโรคมากมายมหาศาลจึงได้หยุดรับประทานไป โดยเฉพาะวงการปศุสัตว์ทั้งหลายที่มีสารพิษตกค้างจากยาเคมี ฮอร์โมน ยาปฏิชีวนะ สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลีน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดโรคร้ายตามมาได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง แต่เมื่อหลายคนงดเนื้อสัตว์จึงต้องหันไปบริโภคโปรตีนจากธัญพืชแทน

ธัญพืชที่เราบริโภคส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนแล้วแต่มีกรดไขมันที่เริ่มไม่อิ่มตัวตำแหน่งที่ 6 (ตำแหน่งคาร์บอนแขนคู่ทำให้เริ่มตำแหน่งไม่อิ่มตัวตำแหน่งที่ 6) ที่เรียกว่า "กรดไลโนเลอิก" หรือที่เรียกว่า โอเมก้า 6 เป็นจำนวนมาก และจะยิ่งมากขึ้นไปอีกด้วยการใช้น้ำมันไขมันที่ได้จากธัญพืชส่วนใหญ่ก็มีโอเมก้า 6 อยู่ในระดับสูงด้วย คราวนี้ก็จะเกิดความไม่สมดุลในการบริโภคกรดไขมันถึง 2 ชั้น ทั้งจากธัญพืชที่เราบริโภคแทนโปรตีน และจากน้ำมันจากธัญพืชที่นำมาผัดหรือทอด

ผลก็คือคนที่หันมาทานมังสวิรัติในลักษณะเช่นนี้ ก็จะมีกรดไขมันไลโนเลอิก หรือ โอเมก้า 6 มากเกินไปจนขาดสมดุล ผลที่ตามมาเมื่อเกิดการอักเสบของหลอดเลือดจากกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งเกิดทั้งอนุมูลอิสระได้มากและเกิดไขมันทรานส์ได้ง่าย

ถ้ามีกรดไขมันชนิดโอเมก้า 6 มากเกินไปมากๆ ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์จะเสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า Cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังอย่างรุนแรง หลังจากนั้นจะพยายามรักษาตัวเองด้วยการหยุดการอักเสบนั้นด้วยการ นำไขมัน ลิ่มเลือด และแคลเซียมไปพอก หลอดเลือดจะแข็งตัว เมื่อพฤติกรรมการบริโภคเช่นนี้ปล่อยไว้ยาวนานขึ้นก็ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ในที่สุด

นักโภชนาการจำนวนหนึ่งเชื่อว่าเราจำเป็นต้องบริโภคให้เกิดความสมดุลของกรดไขมันด้วย โดยสัดส่วนที่เหมาะสมก็คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวของโอเมก้า 6 นั้น ควรมีสัดส่วนไม่เกิน 4 เท่าตัว ของ กรดไลโนเลนิค หรือ กรดไขมันอิ่มตัวที่เริ่มไม่อิ่มตัวในตำแหน่งคาร์บอนที่ 3 ที่เรียกกันว่า โอเมก้า 3 ซึ่งมีในน้ำมันปลา สาหร่ายบางชนิด และ ธัญพืชบางชนิดที่ขึ้นในอุณหภูมิเย็นๆ

โดยเชื่อว่าน้ำมันที่เป็นโอเมก้า 3 นั้นจะลดการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลทำให้ลดคอเลสเตอรอลที่พอกตามหลอดเลือด ลดลิ่มเลือด แต่ถ้ารับประทานมากเกินพอดีก็จะทำให้เลือดเหลวอ่อนตัว แข็งตัวยาก ดังนั้นสัดส่วนที่เหมาะสมในการบริโภคคือ

กรดไขมันโอเมก้า 6 ไม่ควรเกิน 4 เท่าของกรดไขมันโอเมก้า 3

แต่เมื่อลองพิจารณาน้ำมันถั่วเหลืองกลับปรากฏว่า มีปริมาณโอเมก้า 6 สูงมากถึง 54% และมีโอเมก้า 3 เพียง 7 % หมายความว่า มีโอเมก้า 6 สูงกว่าโอเมก้า 3 ถึง 7 เท่าตัว

น้ำมันดอกทานตะวันอันตรายหนักไปกว่านั้น คือ มีปริมาณโอเมก้า 6 สูงถึง 68% และมีโอเมก้า 3 เพียง 1% หมายความว่า มีโอเมก้า 6 สูงกว่าโอเมก้า 3 ถึง 68 เท่าตัว

น้ำมันงา มีปริมาณโอเมก้า 6 อยู่ในระดับสูงถึง 45% โดยที่ไม่มีโอเมก้า 3 เลย

แม้น้ำมันรำข้าวจะจัดว่าเป็นเป็นน้ำมันชนิดที่ค่อนข้างดี เพราะมีวิตามินอีต้าน อนุมูลอิสระสูง ทั้งในกลุ่มโทโคฟีรอล และไทโคโตรอีนอล และโอรีซานอล ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แต่น้ำมันรำข้าวก็ยังไม่เหมาะกับการผัด ทอด หรือโดนความร้อนอยู่ดี เพราะอย่างไรเสีย น้ำมันชนิดนี้ก็ยังเป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมกันสูงถึง 82% โดยเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งสูงถึง 37% และเป็นไขมันไม่อิ่มตัว 1 ตำแหน่งอีก 45% หากโดนความร้อนก็จะทำให้อนุมูลอิสระเข้าโจมตีได้ และหากนำมาผัดทอดซ้ำในอุณหภูมิสูงก็เกิดไขมันทรานส์ได้ และทำให้เกิดการอักเสบ ของหลอดเลือดได้เช่นกัน

แต่นักชีวเคมีชื่อดัง ดร.เรย์ พีท จากมหาวิทยาลโอเรกอน สหรัฐอเมริกา โต้แย้งว่า น้ำมันที่เรียกว่า โอเมก้า 3 หรือกรดไลโนเลนิกที่หลายคนตามหาเพราะคิดว่ามีประโยชน์นั้น แท้ที่จริงแล้วกรดไขมันชนิดนี้ก็ไม่อิ่มตัวเช่นกัน กรดไขมันเหล่านี้เกิดขึ้นในอุณหภูมิที่เย็น ดังนั้นเมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ที่มีอุณหภูมิที่ร้อนกว่า จึงถูกอนุมูลอิสระทำลายจนหมดสิ้น

เป็นที่ทราบดีว่าโอเมก้า 3 มีมากในปลา แต่ปรากฏว่างานวิจัยของ Brouwer และคณะ พ.ศ. 2552 และ Saravanan และคณะ พ.ศ. 2553 ของมหาวิทยาลัยแห่งวาเก็นนิงเก้น แห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ศึกษาชายหญิงอายุเกิน 55 ปี จำนวน 5,299 คน อยู่ชานเมืองอัมเสตอร์ดัมพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ชอบกินปลาและไม่ชอบกินปลาไม่มีผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ต่อมาผู้วิจัยได้ตีพิมพ์ผลงานในวารสารโรคหัวใจแห่งยุโรป สรุปว่า "กรดไขมันจำเป็นที่เป็นโอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในน้ำมันปลา จะมี สรรพคุณช่วยป้องกันโรคหัวใจ เหมือนกับที่มีข่าวว่ามันช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้นั้น ไม่เป็นความจริง!!!"

แต่ลองคิดดูว่าปกติคนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์มาก ก็ต้องใช้ความร้อนสูงกว่าการผัดทอดผักหรือธัญพืช เพราะต้องการทำให้สุกจึงต้องใช้น้ำมันมาก ในบางกรณีต้องทอดจนน้ำมันท่วม ยิ่งใช้ความร้อนสูงน้ำมันเหล่านี้ก็จะกลายเป็นไขมันทรานส์และเป็น สารก่อมะเร็งได้ในที่สุด

สรุปว่าเราเลือกบริโภคธัญพืชมากแล้วผัดหรือทอดด้วยน้ำมันพืชไม่ อิ่มตัว หลายตำแหน่ง (น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา ฯลฯ) ก็มีโอกาสทำให้หลอดเลือดอักเสบ ตีบ และอุดตันได้ทั้งนั้น แต่ถ้ารับประทานกับเนื้อสัตว์มากนอกจากจะมีโอกาสทำให้หลอดเลือดอักเสบแล้ว ยังจะได้โรคมะเร็งตามมาได้ด้วย

การอักเสบของหลอดเลือดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งที่ผ่านกรรมวิธีหรือผ่านความร้อนสูงเท่านั้น (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา ฯลฯ) แต่ยังรวมถึงการอักเสบจากการบริโภคน้ำตาลมาก ทั้งจากการรับประทานหวานมาก หรือรับประทานอาหาร พวกแป้งขัดขาวมากเกินไปได้ด้วย

ถ้าเราพิจารณาจาก **ดร.สาทิส อินทรกำแหง** ใช้สูตรชีวจิต โดยเน้นเรื่องการบริโภคโปรตีนจากธัญพืชในสัดส่วนค่อนข้างมาก ซึ่งย่อมหมายความว่าการบริโภคเช่นนี้ย่อมมีสัดส่วนของโอเมก้า 6 ค่อนข้างโดดมาก

ในขณะที่ **พลตรีจำลอง ศรีเมือง** รับประทานโปรตีนจากธัญพืชเช่นกัน เดิมใช้น้ำมันถั่วเหลืองมาอย่างยาวนาน ต่อมาใช้น้ำมันรำข้าว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งทั้งสิ้น และชอบรับประทานอาหารรสจืดโดยไม่ใส่เครื่องเทศใดๆ

ชาวอินเดียที่รับประทานอาหารมังสิวิรัติมาก แม้จะบริโภคโปรตีนจากธัญพืชค่อนข้างสูง แต่พวกเขาก็รับประทานควบคู่ไปกับเครื่องเทศ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผักและผลไม้ อันเป็นการลดข้อด้อยของธัญพืชที่มีกรดไขมัน้ำมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งที่เปิดช่องให้อนุมูลอิสระโจมตีได้มาก

การวัดค่าสารต้านอนุมูลอิสระนั้นสามารถวัดได้หลายวิธีและยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ แต่การวัดวิธีหนึ่งที่เรียกว่า Oxidation Radical Absorbance Capacity (ORAC) ซึ่งจัดทำฐานข้อมูลในองค์กรในเครือข่ายโดย USDA ของสหรัฐอเมริกา ได้เคยจัดอันดับเมื่อปี พ.ศ. 2555 ว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่มากที่สุด พบว่าส่วนใหญ่อยู่ใน "เครื่องเทศ" และ "สมุนไพร"

เช่น เมล็ดซูแมค ( Sumac: สมุนไพรของชาวตะวันออกกลาง) มีค่า ORAC สูงถึง 312,400 μmol ต่อ 100 g, กานพลู มีค่า ORAC สูงรองลงมาคือ 290,283 μmol ต่อ 100 g, เครื่องเทศ ออการีโน มีค่า ORAC 175,295 μmol ต่อ 100 g

ส่วนที่เรารู้จักกันดีในภูมิภาคนี้ก็คือ อบเชย (อันดับ 7) มีค่า ORAC 131,240 μmol ต่อ 100 g, ขมิ้น (อันดับ มีค่า ORAC 127,068 μmol ต่อ 100 g

อันที่จริงมีเครื่องเทศอีกหลายชนิดของไทยที่ไม่ได้มีโอกาสตรวจวัดค่า ORAC แต่เครื่องเทศ เช่น หัวหอม กระเทียม พริก พริกไทยดำ ต่างมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงทั้งสิ้น ซึ่งคนอินเดียที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์จึงมักรับประทานกับธัญพืชควบคู่ไปกับเครื่องเทศและสมุนไพรด้วย ด้านหนึ่งเป็นการขับลม อีกด้านหนึ่งคือลดทอนข้อด้อยของกรดไขมันไม่อิ่มตัวจากธัญพืชที่เปิดโอกาสให้อนุมูลอิสระโจมตีมาก

ในความเห็นของผมจากการศึกษางานวิจัยหลายชิ้นจึงสรุปสำหรับการป้องกันโรคหัวใจจาการบริโภคว่า

1) เราควรใช้น้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงที่สุดในการผัดหรือทอดอาหาร เพื่อป้องกันไม่ใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัวชนิดอื่น โดยเฉพาะคนที่รับประทานมังสวิรัติที่ได้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 ซึ่งบริโภคจากโปรตีนจากธัญพืช ควรต้องใช้น้ำมันมะพร้าวสำหรับการผัดทอด และควรดื่มสกัดเย็นในช่วงเช้าเพื่อเพิ่มปริมาณ HDL ให้สูงขึ้น

2) แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงเรื่องน้ำมันโอเมก้า 3 ว่าดีจริงหรือไม่ เราควรสลับรับประทานกรดไขมันชนิดอื่นบ้าง เช่น งาขี้ม้อน สาหร่ายเกลียวทอง ฯลฯ เพื่อให้ได้โอเมก้า 3 มาลดสัดส่วนของ โอเมก้า 6 บ้าง

3) การรับประทานอาหารที่เน้นธัญพืชที่มาแทนเนื้อสัตว์ ควรพิจารณาในการรับประทานควบคู่กับเครื่องเทศด้วย เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและลดข้อด้อยของกรดไขมันจากธัญพืชเหล่านั้นที่ไม่อิ่มตัวมาก

4) ควรลดแป้งและน้ำตาลให้น้อยลง และควรทานผักให้มากขึ้น โดยต้องเข้าใจว่าไม่ว่าโปรตีนและไขมันต่างก็ออกฤทธิ์เป็นกรดทั้งสิ้น ไม่ว่าในรูปของ แป้ง น้ำตาล ไขมันและโปรตีน จึงควรรับประทานให้สัดส่วนของอาหารที่พอดีพอเพียง นั่นก็คือพยายามรับประทานผัก ผลไม้ ที่ให้ฤทธิ์ด่างให้มากขึ้นนั่นเอง และควรดื่มน้ำให้มากพอ 8 แก้วต่อวัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.zupernature.com/blog/%E2%96%BA%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E2%97%84-6-th.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น