วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

Brownie Sundae Drizzled with Chocolate Sauce


Brownie Sundae Drizzled with Chocolate Sauce

กินเจอย่างไรให้ปลอดภัย



กินเจอย่างไรให้ปลอดภัย
Tue, 23/09/2014 - 10:01

เทศกาลกินเจในแต่ละปี จะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 แต่สำหรับปีนี้ความพิเศษอยู่ตรงที่ มีเดือน 9 ถึง 2 ครั้ง จึงแบ่งการกินเจ ออกเป็น 2 ช่วง คือ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.-2 ต.ค. และ 24 ต.ค.-1 พ.ย. ทำให้ประชาชนบางส่วนเลือกที่จะกินเจเฉพาะวันที่สะดวกเท่านั้น แต่สำหรับบางคนก็เลือกที่จะกินเจตลอดเทศกาล ไม่ว่าจะกินเจบางวันหรือตลอดเทศกาล สิ่งที่ผู้บริโภคควรทราบก็คือ กินเจอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพมากที่สุด

แม้กรมการค้าภายในระบุว่าถึงการสำรวจราคาสินค้า และวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้ว่า ภาพรวมราคาสินค้า ทั้ง ผักสด และ อาหารเจ มีเพียงบางรายการที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่พ่อค้าแม่ค้าบางส่วนก็ยังคงเลือกจำหน่ายสินค้าในราคาเดิมแม้ว่าต้นทุนจะแตกต่างจากการขายเนื้อสัตว์อย่างเดิม
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำว่า หากไม่มีเวลาที่จะเลือกวัตถุดิบเองทุกขึ้นตอน ควรเลือกร้านอาหารที่สะอาดถูกสุขลักษณะ เช่น เลือกร้านที่ภาชนะสะอาด ปิดมิดชิด และปรุงสุกอยู่เสมอรวมถึงแนะนำสูตรการกินเจโดยใช้หลักการง่ายๆ คือ แบ่งจานอาหารออกเป็น 3 ส่วน คือ 1/4 ของจานควรเป็นกลุ่มข้าวแป้ง อีก 1/4 เป็นโปรตีนจากถั่ว และเห็ด และครึ่งจานจากทั้งหมด ควรเป็นผักที่มีหลากหลายสี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน

ผักถือเป็นวัตถุดิบสำคัญของเทศกาลกินเจ ดังนั้น วิธีการล้างผักที่ถูกต้องคือ ให้น้ำไหลผ่าน 5 นาที สารเคมีจะจางลงร้อยละ 50 หรือใช้วิธีแช่ในน้ำสะอาด 15 นาที แต่หากมีน้ำส้มสายชู ให้ผสมน้ำ 4 ลิตร แล้วจึงแช่ผักไว้นาน 10 นาที ก็จะช่วยชะล้างสารเคมีออกได้
นอกจากอาหารสดที่ต้องพิถีพิถันในขั้นตอนการเลือกวัตถุดิบแล้ว การเลือกอาหารกึ่งสำเร็จรูป ก็ควรคำถึงปริมาณไขมันข้างฉลาก ที่ไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด เช่นพลังงานทั้งหมด 100 กิโลแคลอรี่ ไขมันก็ไม่ควรเกิน 50 กิโลแคลอรี่ เพราะอาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ไขมันอิ่มตัว และโรคหัวใจหลอดเลือดได้  อีกทั้งต้องระวังเรื่องปริมาณโซเดียม ที่เป็นองค์ประกอบของผงชูรส เพราะหากได้รับเกินกว่า 2,400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับซีอิ๊วประมาณ 1 ช้อนครึ่ง ต่อวันจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง

http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

ตำต๊อกแต๊ก




ตำด๊อกแด๊ก > ทำจากเส้นขนมจีน > รีดให้เส้นใหญ่เหมือนเส้นลอดช่อง > ตำผสมกับผักคล้ายส้มตำ> หาทานได้ที่ จ.เลย

10 เหตุผล สุดมหัศจรรย์! ทำไมคุณควรกิน'เชอร์รี่'


10 เหตุผล สุดมหัศจรรย์! ทำไมคุณควรกิน'เชอร์รี่' 

หลายๆ คนชอบกินเชอร์รี่ เพราะเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยหวานๆ เปรี้ยวๆ ถูกปากคุณผู้หญิงซะเหลือเกิน นอกจากรสชาติดีแล้วเชอร์รี่ยังมีคุณประโยชน์มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ ไทยรัฐออนไลน์จึงนำ 10 เหตุผลที่น่าตื่นตาตื่นใจว่าทำไมคุณควรกินเชอร์รี่มากขึ้น...
1.เพิ่มพลังงานของคุณได้อย่างที่คาดไม่ถึง
การกินเชอร์รี่ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในเชอร์รี่มีน้ำตาลจากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มอารมณ์และเพิ่มระดับพลังงานของคุณอีกด้วย
2.ช่วยให้คุณนอนหลับได้อย่างสบายมากขึ้น
หากคุณมีปัญหากับการนอนหลับ หลับยาก พลิกตัวไปมาหลายตลบ นับแกะก็แล้ว ก็ยังนอนไม่หลับ ขอบอกไว้เลยว่าการกินเชอร์รี่อย่างสม่ำเสมอช่วยคุณได้อย่างแน่นอน เชอร์รี่มีเมลาโทนิที่ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
3.ดีสำหรับดวงตาของคุณ

อีกเหตุผลที่ควรจะกินเชอร์รี่ทุกวันเพราะเชอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีสำหรับดวงตาของคุณ เชอร์รี่มีวิตามินมากมายและยังมีเบต้าแคโรทีที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ที่ดีและให้ทำให้ดวงตาของคุณมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย
4.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้
คุณรู้ไหมว่าโดยการกินเชอร์รี่เป็นประจำคุณสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งบางชนิดได้ เชอร์รี่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งทั้งยังช่วยในเรื่องการเกิดริ้วรอยทำให้ชะลอความแก่ได้ด้วย
5. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น
เชอร์รี่มีปริมาณเส้นใยสูงจึงช่วยปรับปรุงระบบการย่อยอาหารของคุณและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลของคุณได้อีกด้วย
6.ลดอาการปวม และบรรเทาอาการปวด
เชอร์รี่ผลไม้สีสวยที่มีแอนโทไซยานิน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน และสามารถช่วยลดอาการปวดและบวมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อ ได้มากถึง 37% หากรับประทานต่อเนื่องเป็นประจำ และหากคุณมีอาการปวดข้ออักเสบลองกินเชอร์รี่เข้าไปแทนการกินยาและลองสังเกตว่ามันเหมาะกับคุณหรือไม่
7.ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ
แม้ว่ากล้วยจะมีโพแทสเซียมสูงแต่คุณไม่ชอบที่จะกินมันเลย เชอร์รี่เป็นนอีกทางลือกหนึ่ง คุณสามารถรับโพแทสเซียมจากเชอร์รี่ได้เหมือนกัน โพแทสเซียมจะช่วยลดและป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ นอกจากนี้น้ำเชอร์รี่ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนอีกด้วย
8.ความจำดี บำรุงสมองของคุณ
หากคุณรู้สึกหลงๆ ลืมๆ เชอร์รี่สามารถช่วยให้ความจำของคุณดีขึ้น เรียกได้ว่าเชอรี่เป็นอาหารของสมองเลยก็ว่าได้ ดังนั้นเมื่อสมองรู้สึกเมื่อล้า คิดอะไรไม่ได้ลองหยิบเชอร์รี่มากินเพื่อจะช่วยให้สมองของคุณดีขึ้นได้
9.ดีสำหรับหัวใจของคุณ
เชอร์รี่ถือเป็นผลไม้หรืออาหารที่ดีสำหรับหัวใจของคุณ เชอร์รี่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ยังไม่สายเกินไปที่คุณจะจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพหัวใจของคุณให้แข็งแรงได้ด้วยเชอร์รี่
10.ช่วยลดอาการอักเสบ
หนึ่งในประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญที่สุดของเชอร์รี่คือ ช่วยลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักวิ่งและนักกีฬาที่อาจจะปวดเนื้อเมื่อยตัว ได้รับบาดเจ็บหลังจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักๆ เช่นเดียวกับสำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ ถ้าคุณกำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด ให้ลองดื่มน้ำผลไม้เชอร์รี่ วันละ 3 ครั้งจะช่วยให้คุณดีขึ้นอย่างแน่นอน